S&Pคาด"ภาษีทรัมป์" ฉุด GDP ยุโรปร้อยละ 0.5

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า S&P Global Ratings เปิดเผยว่าข้อเสนอของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่จะจัดเก็บภาษีนำเข้าจากสหภาพยุโรป 25% น่าจะส่งผลกระทบต่อโอกาสการเติบโตในยุโรปกลาง และเพิ่มความท้าทายทางการเงินที่มีอยู่เดิม หลังจากทรัมป์กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่ารัฐบาลสหรัฐจะประกาศภาษีนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรปในเร็วๆ นี้

คณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวว่าจะตอบสนองอย่างหนักแน่นและทันทีต่ออุปสรรคต่อการค้าเสรี เนื่องจากภาษีนำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกของสหรัฐจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มี.ค.68




S&Pคาด"ภาษีทรัมป์" ฉุด GDP ยุโรปร้อยละ 0.5

สรุปข่าว

S&P คาด "มาตรการภาษีทรัมป์" ส่อฉุด GDP ยุโรปกลางลง 0.5% รุนแรงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ สาธารณรัฐเช็ก ฮังการี สโลวาเกีย สโลวีเนีย โรมาเนีย ได้รับผลกระทบมากที่สุด

ทั้งนี้  S&P Global ตอบคำถามเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากภาษีศุลกากร โดยกล่าวว่า แม้ว่าการค้าโดยตรงของยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกกับสหรัฐจะมีจำกัด แต่แนวโน้มการเติบโตน่าจะได้รับผลกระทบผ่านภาคส่วนรถยนต์ของเยอรมนี ซึ่งกรณีนี้เกิดขึ้นโดยเฉพาะกับสาธารณรัฐเช็ก ฮังการี สโลวาเกีย สโลวีเนีย และโรมาเนีย เนื่องจากการส่งออกเครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่งไปยังเยอรมนีคิดเป็นมากกว่าหนึ่งในสิบของการส่งออกทั้งหมดของประเทศเหล่านี้

นอกจากนี้ ประเทศต่างๆ ในยุโรปกลางถือเป็นกลุ่มประเทศที่ต้องพึ่งพาการค้าต่างประเทศมากที่สุดในสหภาพยุโรป โดยมีสัดส่วนการส่งออกตั้งแต่ 92% ในสโลวาเกียไปจนถึง 69% ในสาธารณรัฐเช็ก โดยอ้างอิงจากข้อมูลของ Eurostat ในปี 2566 ขณะที่โรมาเนียมีเพียง 39% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของสหภาพยุโรป


นายนิโคลัส ฟาร์ นักวิเคราะห์จาก Capital Economics Emerging Europe กล่าวว่า การที่สหรัฐเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรป 25% จะทำให้การเติบโตลดลงประมาณ 0.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศโดยเฉลี่ยในยุโรปกลาง ซึ่งถือเป็นผลกระทบที่รุนแรงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้หากใช้มาตรการภาษีที่ไม่รุนแรงมากนัก

ซึ่งอาจทำให้การฟื้นตัวในภูมิภาคที่การเติบโตชะลอตัวลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นหลังจากการรุกรานยูเครนของรัสเซียในปี 2565 ชะลอตัวลง ประกอบกับความอ่อนแอของเยอรมนี ซึ่งเป็นพันธมิตรทางการค้ารายใหญ่ที่เพิ่มแรงกดดันมากขึ้น

ที่มาข้อมูล : สำนักข่าวรอยเตอร์

ที่มารูปภาพ : TNN

avatar

Chakorn Nhukongmai
(Chakorn Nhukongmai)