กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส กำลังถกเถียงกันว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือนเม.ย.ตามแผนที่วางไว้ หรือจะคงกำลังการผลิต เนื่องจากชาติสมาชิกของโอเปกพลัสกำลังเผชิญกับความยากลำบากในการประเมินภาพรวมของอุปทานน้ำมันในตลาดโลก อันเนื่องมาจากมาตรการคว่ำบาตรครั้งล่าสุดที่สหรัฐฯ ประกาศใช้กับเวเนซุเอลา อิหร่าน และรัสเซีย
รายงานข่าวเปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ที่ผ่านมานั้น โอเปกพลัสมักจะยืนยันนโยบายการผลิตล่วงหน้าเป็นเวลา 1 เดือน เพื่อให้มีเวลาในการจัดสรรน้ำมันดิบให้กับผู้ซื้อ ดังนั้น โอเปกพลัสจึงมีเวลาจนถึงวันที่ 5-7 มี.ค. ในการสรุปแผนการผลิตสำหรับเดือนเม.ย. แต่โอเปกพลัสก็ยังไม่มีฉันทามติจนถึงขณะนี้
สรุปข่าว
ทั้งนี้ ภายในกลุ่มโอเปกพลัสนั้น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ซึ่งมีความมุ่งมั่นที่จะใช้แนวทางเพิ่มกำลังการผลิต ได้แสดงความต้องการที่จะดำเนินการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน เช่นเดียวกับรัสเซีย ขณะที่สมาชิกอื่น ๆ รวมถึงซาอุดีอาระเบียสนับสนุนให้มีการชะลอการเพิ่มกำลังการผลิต
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้หันมากดดันกลุ่มโอเปกอีกครั้งให้ลดราคาน้ำมัน หลังจากราคาพุ่งขึ้นทะลุระดับ 82 ดอลลาร์/บาร์เรลในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบหลายเดือน หลังจากที่อดีตปธน.โจ ไบเดน ใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย
รายงานข่าว ระบุว่า การที่ตลาดมีทั้งปัจจัยบวกที่ช่วยหนุนราคาน้ำมันและปัจจัยลบที่กดดันราคาน้ำมันนั้น ทำให้การตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการผลิตน้ำมันเดือนเม.ย.ของโอเปกพลัสมีความซับซ้อนอย่างมาก นอกจากนี้ แหล่งข่าวเสริมว่าแผนการของปธน.ทรัมป์ในการเรียกเก็บภาษีนำเข้าทั่วโลกอาจทำให้อุปสงค์น้ำมันปรับตัวลดลงและทำให้แนวโน้มของราคาน้ำมันมีความซับซ้อนยิ่งขึ้นด้วย
นักวิเคราะห์บางราย เช่น เฮลิมา ครอฟต์ จากอาร์บีซี แคปิตอล มาร์เก็ตส์ (RBC Capital Markets) คาดการณ์ว่า โอเปกพลัสอาจชะลอการเพิ่มกำลังการผลิตไปจนถึงครึ่งหลังของปี 2568 เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการคว่ำบาตรและภาษีศุลกากร
ที่มาข้อมูล : สำนักข่าวรอยเตอร์
ที่มารูปภาพ : TNN
Chakorn Nhukongmai
(Chakorn Nhukongmai)