ทีมวิจัยเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารกรุงศรี หรือ วิจัยกรุงศรีระบุจากกรณี สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์รายงานว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 จะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ 260,050 ล้านบาท จาก 4 โครงการเศรษฐกิจที่สำคัญได้แก่
(1)โครงการโอนเงิน 10,000 บาทให้กับผู้สูงอายุที่ผ่านเกณฑ์ วงเงินถึงปัจจุบัน 28,250 ล้านบาท (2) โครงการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านมาตรการลดหย่อนภาษี (Easy E-Receipt) คาดว่าจะมีเงินหมุนเวียนกว่า 70,000 ล้านบาท (3) โครงการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชน (SML) จัดสรรจากงบประมาณปี 2568 จำนวน 11,900 ล้านบาท และ (4) โครงการแจกเงิน 10,000 บาทผ่านระบบดิจิทัล (มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเฟส 3) คาดว่าจะดำเนินการในช่วงไตรมาส 2 วงเงินราว 160,000 ล้านบาท
สรุปข่าว
วิจัยกรุงศรีประเมินว่าแม้จะมีเม็ดเงินสูงกว่า 260,000 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 1.4 ของ GDP) เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปีก็ตาม แต่ประสิทธิผลของแต่ละโครงการอาจมีผลเชิงบวกจำกัด สะท้อนจากการดำเนินโครงการแจกเงินสด 10,000 บาทแก่กลุ่มเปราะบางวงเงินราว 140,000 ล้านบาท (ร้อยละ 0.8 ของ GDP) โดยเริ่มแจกตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา พบว่าการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้วเติบโตร้อยละ 3.4 YoY ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า (ร้อยละ 3.3) และชะลอลงมากจากร้อยละ 6.6 ในไตรมาส 1 Q67
ดังนั้น การใช้มาตรการทางการคลังด้านเดียวอาจไม่เพียงพอ การผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มขึ้นจึงอาจมีความจำเป็น ท่ามกลางเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำ การบริโภคอ่อนแอ การลงทุนภาคเอกชนยังอยู่ในภาวะซบเซา สินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์หดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี (ติดลบร้อยละ 0.4) จึงมีความเป็นไปได้ที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะพิจารณาทบทวนปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับร้อยละ 2 ในการประชุมวันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ ทั้งนี้ หากไม่มีการปรับลดรอบนี้ก็ยังมีโอากาสที่จะลดในรอบการประชุมครั้งถัดไปในเดือนเมษายน

วิลาวัลย์ ปะมา