
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ปิดตลาดวันนี้ (วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 )ที่ระดับ 1,256.48 จุด ลดลง 15.62 จุด หรือ 1.23% จากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยดัชนีปรับฟื้นขึ้นในการซื้อขายภาคบ่าย เนื่องจากราคาหลักทรัพย์ปรับสูงขึ้นกระจายในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม และกลุ่มทรัพยากร เป็นต้น
โดยหากไม่รวมการเคลื่อนไหวของราคาหลักทรัพย์ DELTA และ AOT ดัชนี SET Index ปรับบวกกว่า 15 จุด ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาค
ทั้งนี้ ในช่วงเปิดตลาดภาคเช้าวันนี้ SET Index ปรับลดลง 31.96 จุด หรือ 2.51% ลดลงมาอยู่ที่ 1,240.14 จุด สาเหตุหลักมาจากการปรับลงของราคาหลักทรัพย์ DELTA ที่ลดลงหลังข่าวผลประกอบการที่ลดลงต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ รวมทั้งปรับลดเป้าหมายการเติบโต และการปรับลดลงของหลักทรัพย์ AOT เนื่องจากข่าวสัญญาสัมปทาน ที่ผู้เช่าหลัก คือ กลุ่มคิง เพาเวอร์ เลื่อนจ่ายชำระผลตอบแทนค่าสัมปทานสนามบิน อย่างไรก็ตามบริษัทได้ชี้แจงเพิ่มเติมมาแล้ว
โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ผู้ลงทุนติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิดจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ วิเคราะห์รอบด้าน และใช้วิจารณญาณในการพิจารณาซื้อขายให้เหมาะสมกับสถานการณ์
สำหรับปัจจัยกดดันดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงในวันนี้ มาจากหุ้น DELTA, AOT และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานอัตราการเติบโตของตัวเลขเศรษฐกิจไทย (GDP Growth) ไตรมาส 4/2567 ต่ำกว่าตลาดคาด โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่หนุนดัชนีหุ้นไทย คือ กลุ่มกลุ่มธนาคาร (KBANK, SCB) ค้าปลีก CPAXT กลุ่มพลังงาน PTTEP ฯลฯ ส่วนกลุ่มที่ปรับลงกดดัชนีหุ้นไทย คือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA, CCET) กลุ่มขนส่ง AOT

สรุปข่าว
บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 14 ก.พ. 2568 ที่ผ่านมา DELTA ประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 4/2567 เหลือเพียง 2.15 พันล้านบาท ลดลง 64% จากไตรมาสก่อนหน้า (QOQ) และลดลง 54% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) ต่ำกว่าที่เราและตลาดคาดถึง 60% (คาดไว้ 5.4 พันล้านบาท) โดยจบปี 2567 มีกำไรสุทธิ 1.89 หมื่นล้านบาท (+2.8% YOY) ส่วนกำไรปกติอยู่ที่ 2.01 หมื่นล้านบาท (+17% YOY)
แม้ AI จะยังมีแนวโน้มที่ดี แต่สัญญาณการชะลอตัวของกลุ่ม EV ดูน่าเป็นห่วงกว่าที่เคยคาด ขณะที่ค่า fees ที่ต้องจ่ายให้กับ Delta Taiwan เร่งขึ้นมากกว่าการเติบโตของรายได้ ทำให้สัดส่วนค่า fees ต่อรายได้รวมปี 2567 สูงขึ้นเป็น 6.2% จาก 3.8% ในปี 2566 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก หลังถูกปรับอัตราจ่ายเพิ่มขึ้นใน 4/2567 โดยบริษัทให้มุมมองทางธุรกิจว่าถูกขยับขึ้นเป็น 10% ของรายได้ที่มาจาก Taiwan ประกอบกับจะเริ่มเผชิญอัตราภาษี GMT ที่สูงขึ้นเป็น 15% ตั้งแต่ไตรมาส 1/2568 จาก 2.4% ในปี 2567
“เราปรับลดกำไรสุทธิปี 2568-2570 ลง 19-30% เป็นการเติบโต 3.6%, 14.1%, 13.8% และปรับลด PE ลงเป็น 45 เท่า เท่ากับค่าเฉลี่ย 5 ปี เพื่อสะท้อนการเติบโตของกำไรที่ลดลงกลับสู่ระดับปกติปีละ 10-15% และภาวะการแข่งขันในอุตสาหกรรม AI ที่รุนแรงขึ้น ทำให้มูลค่าหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ AI ถูก De-rate valuation จึงปรับลดราคาเป้าหมายเป็น 72 บาท (คิดเป็น PBV 1 เท่า) ขณะที่ประกาศจ่ายปันผลงวดปี 2567 หุ้นละ 0.46 บาท คิดเป็นผลตอบแทนเงินปันผลเพียง 0.4% แนะนำ “ขาย” บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ได้ปรับลดคำแนะนำ tactical call ระยะ 3 เดือน สำหรับ AOT ลงสู่ NEUTRAL (จาก OUTPERFORM) ราคาหุ้น AOT ปรับตัวลดลง 14% เทียบวันก่อนหน้า (DoD) สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2565 สืบเนื่องมาจากมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์ที่ทำให้ตลาดเกิดความกังวลเกี่ยวกับสถานะทางการเงิน และความสามารถในการชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนในอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มคิง เพาเวอร์ ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานรายหลักของ AOT เราเชื่อว่าประเด็นนี้จะสร้างแรงกดดันต่อราคาหุ้น AOT ต่อไปจนกว่าความสามารถในการชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนของผู้รับสัมปทานจะปรับตัวดีขึ้นและมาตรการดังกล่าวสิ้นสุดลง จึงปรับราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 อ้างอิงวิธี DCF ใหม่เป็น 57 บาท/หุ้น (ลดลงจาก 72 บาท/หุ้น) เพื่อสะท้อนกรณีเลวร้ายที่สุดที่รายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ลดลงและความไม่แน่นอนด้านการดำเนินงาน
ที่มาข้อมูล : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ที่มารูปภาพ : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

Pornsawan Nantha
(Pornsawan)