รักแท้แพ้เศรษฐกิจ? สะท้อนวิกฤตโลก

ที่ผ่านมา “วาเลนไทน์” ถือเป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้คนทั่วโลก แต่ระยะหลัง ๆ เทศกาลแห่งความรักกำลังเผชิญจุดเปลี่ยนจากจำนวนคนโสดที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากหลายปัจจัย ทั้งทัศนคติและไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนไป แรงกดดันจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นมากจนไม่อยากแต่งงานและมีลูก อัตราการว่างงานที่สูง และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลให้ผู้คนลดการใช้จ่ายลง


ยูโรมอนิเตอร์ ประเมินว่า ในปี 2566 มีครัวเรือนที่อาศัยอยู่คนเดียว (single person household) ทั่วโลกประมาณ 484 ล้านครัวเรือน คิดเป็น 1 ใน 5 ของครัวเรือนทั้งหมด และในระหว่างปี 2566-2583 ครัวเรือนที่อยู่คนเดียวน่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 48 แซงหน้าการขยายตัวของครัวเรือนทุกประเภท  โดยเฉพาะในเอเชีย-แปซิฟิกที่ในปี 2562 ทำสถิติจำนวนคนโสดมากสุดในโลก เฉพาะในจีนเพียงประเทศเดียวก็มีครัวเรือนที่อยู่คนเดียวราว 1 ใน 5 นอกจากนี้ ราว 1 ใน 10 ของครัวเรือนทั่วโลกน่าจะเป็นทั้งคนโสดและคนเอเชีย ภายในปี 2583 และครัวเรือนที่อาศัยคนเดียวในเอเชีย-แปซิฟิกมีแนวโน้มเติบโตร้อยละ 78 ภายในช่วงดังกล่าว สูงกว่าเมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้นร้อยละ 26 ของคู่รักที่มีลูก 


กรณีของจีนสะท้อนปัญหาเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อจำนวนประชากรอย่างชัดเจน ข้อมูลจากกระทรวงกิจการพลเรือนของจีนที่เพิ่งเผยแพร่เมื่อต้นสัปดาห์นี้ ระบุว่า ปี 2567 คู่รักในจีนจดทะเบียนสมรสกันราว 6.1 ล้านคู่ ลดลงร้อยละ 20.5 เมื่อเทียบกับ 7.7 ล้านคู่ ในปี 2566 ทำสถิติต่ำสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่มีการจัดเก็บสถิติเรื่องนี้เมื่อปี 2529 นอกจากนี้ จำนวนคู่แต่งงานที่จดทะเบียนสมรสในปีที่แล้วคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเมื่อปี 2556 ที่ทำสถิติสูงสุดที่ 13 ล้านคู่


จำนวนการแต่งงานที่ลดลงอย่างมากดังกล่าวกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้ง หลังเคยลดลงต่อเนื่องนับทศวรรษตั้งแต่ปี 2556-2565 และเว้นไปในปี 2566 เนื่องจากการยกเลิกมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมที่เข้มงวดเพื่อรับมือวิกฤตโควิด โดยจำนวนการแต่งงานและอัตราการเกิดที่ลดลงนับเป็นความท้าทายของรัฐบาลจีนที่ต้องเผชิญแรงกดดันจากการหดตัวของประชากรวัยแรงงานและเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ


ขณะเดียวกัน จำนวนการหย่าร้างกลับเพิ่มขึ้นในปี 2567 อยู่ที่เกือบ 2.6 ล้านคู่ เพิ่มขึ้นราวร้อยละ 1 หรือประมาณ 28,000 คู่ เมื่อเทียบกับปี 2566 การหย่าร้างเพิ่มขึ้นทั้งที่รัฐบาลจีนได้เสนอร่างกฎหมายให้มีช่วงเวลาพัก 30 วันระหว่างการขอหย่า เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ 


ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน ระบุว่า นับถึงสิ้นปี 2567 จำนวนประชากรจีนอยู่ที่ 1.408 พันล้านคน ลดลงจาก 1.410 พันล้านคนในปี 2566 ขณะที่ปีที่แล้วจำนวนประชากรจีนหดตัวเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน แม้การหดตัวดังกล่าวจะอยู่ที่ร้อยละ 0.1 ชะลอลงจากปีก่อนหน้า แต่ถือเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากขยายตัวมานานกว่า 6 ทศวรรษ ทำให้จีนที่เคยเป็นประเทศที่มีประชากรมากสุดในโลก ถูก “อินเดีย” แซงหน้าไปในปี 2566 


แนวโน้มดังกล่าวถือเป็นระเบิดเวลาสำหรับเศรษฐกิจจีน เพราะส่งผลให้จำนวนประชากรวัยแรงงานลดลง ขณะที่ประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้น กระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและกลายเป็นภาระด้านสวัสดิการที่เพิ่มขึ้น โดยในปี 2567 ประชากรวัยทำงาน อายุระหว่าง 16-59 ปี ลดลง 6.83 ล้านคนในปี 2567 สวนทางกับประชากรที่อายุมากกว่า 60 ปี ที่ยังคงเพิ่มขึ้น และคิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 22 ของจำนวนประชากรทั้งหมด


ขณะที่รัฐบาลจีนเร่งสนับสนุนให้คนหนุ่มสาวแต่งงานและมีลูก เพื่อยับยั้งการลดลงของจำนวนประชากร โดยในปี 2559 จีนได้ยุตินโยบายลูกคนเดียวที่บังคับใช้มาตั้งแต่ทศวรรษ 1980 แล้วแทนที่ด้วยนโยบายลูก 2 คน กระทั่งในปี 2564 รัฐบาลจีนประกาศนโยบายลูก 3 คน นอกจากนี้ ทางการจีนได้ออกมาตรการต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่แรงจูงใจทางการเงินไปจนถึงการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อผลักดันให้คนหนุ่มสาวแต่งงานและมีลูก ไม่ว่าจะเป็นการจัดนัดบอด แจกเงินจูงใจให้แต่งงาน จัดกิจกรรมแต่งงานหมู่ และลดประเพณีการจ่ายเงินสินสอดจำนวนมากจนทำให้เป็นภาระ แต่นโยบายต่าง ๆ ยังไม่สามารถพลิกกระแสการลดลงของจำนวนประชากรได้ ปัจจัยหลัก ๆ มาจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ประกอบกับจำนวนผู้หญิงที่เข้าสู่ตลาดแรงงานและต้องการการศึกษาสูงขึ้น 


การแต่งงานที่ลดลงอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนอย่างรุนแรง โดยเพิ่มแรงกดดันต่อระบบบำนาญและโครงสร้างพื้นฐานด้านการดูแลสุขภาพของภาครัฐ เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว รัฐบาลประกาศแผนทยอยเพิ่มอายุเกษียณ ซึ่งปัจจุบันกำหนดไว้ที่ 60 ปี ถือเป็นหนึ่งประเทศที่กำหนดอายุเกษียณต่ำสุดในโลก เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน


ความยากลำบากทางเศรษฐกิจทำให้แม้แต่ในช่วงเทศกาลแห่งความรักของจีน คนรุ่นใหม่ก็ไม่ได้เฉลิมฉลองมากเหมือนในยุคที่เศรษฐกิจอู้ฟู่ โดยในช่วงเทศกาลชีซี (Qixi) เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นวันแห่งความรักตั้งแต่โบราณ ตรงกับวันที่ 7 เดือน 7 ตามปฏิทินจันทรคติจีน บรรยากาศก็ไม่ได้คึกคัก ผู้ประกอบการต่างโพสต์บนสื่อโซเชียลมีเดียว่าลูกค้าบางตาลงไปมาก ร้านดอกไม้บางแห่งโพสต์ภาพดอกไม้ที่ขายไม่ออกเรียงราย ขณะที่โพสต์หัวข้อ “การบริโภคลดลงในวันแห่งความรัก” และ “คนหนุ่มสาวไม่เต็มใจจ่ายเงินซื้อของขวัญ” กลายเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจมากสุดบนแพลตฟอร์มเวยป๋อ (Weibo) มีผู้เข้าชมกว่า 200 ล้านครั้ง


การใช้จ่ายที่ลดลงดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน รวมถึงวิกฤตในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยืดเยื้อ ส่งผลกระทบต่อตลาดงาน ทำให้คนรุ่นใหม่ต้องดิ้นรนหางานทำท่ามกลางอัตราการว่างงานที่สูงอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับแนวโน้มการบริโภคที่ชะลอตัวในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์


โดยอัตราการว่างงานของคนจีนรุ่นใหม่ อายุระหว่าง 16-24 ปี แตะระดับเลข 2 หลักติดต่อกัน 13 เดือน นับตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2566 หลังทางการปรับการประเมินอัตราว่างงานแบบใหม่ตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2566 ไม่นับรวมจำนวนผู้ที่ยังศึกษาอยู่ ซึ่งตัวเลขกรอบสูงที่อยู่แถว ๆ ร้อยละ 17-18 สะท้อนว่า คนรุ่นใหม่จีนประมาณ 1 ใน 5 ไม่สามารถหางานทำได้ ขณะที่ความมั่งคั่งของครัวเรือนจีนประมาณร้อยละ 70 เกี่ยวโยงกับอสังหาริมทรัพย์


ส่วนผู้ที่มีงานทำก็ไม่อยากสร้างครอบครัว เพราะเหนื่อยกับการเป็นหนี้หรือต้องทำงานหนัก ภายใต้แนวคิด 996 หรือการทำงานตั้งแต่ 9.00 น. ถึง 21.00 น. เป็นเวลา 6 วันต่อสัปดาห์ บางส่วนอาจขยับไปสู่รหัส 007 ที่หมายถึงการทำงานตลอด 7 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งกลายเป็นเรื่องปกติในสังคมจีน ทำให้ไม่มีเวลาพักผ่อนหรือออกเดต


สถานการณ์รักแท้แพ้พิษเศรษฐกิจเกิดขึ้นในประเทศเอเชียอื่น ๆ เช่นกัน รวมถึงญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ กรณีของญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่จำนวนประชากรจะลดลงอย่างรวดเร็วในหลายทศวรรษข้างหน้า โดยในปี 2566 จำนวนการแต่งงานลดลงต่ำกว่า 500,000 คู่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ทศวรรษ 1930 ส่วนอัตราการเกิดลดลงร้อยละ 5.1 เหลือ 758,631 คน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดใหม่ จากผลสำรวจพบว่า คนหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นจำนวนมากลังเลที่จะแต่งงานหรือมีครอบครัว เพราะกังวลกับค่าครองชีพที่สูง ขาดโอกาสในการทำงานที่ดี วัฒนธรรมการทำงานที่ไม่เอื้อให้ 2 ฝ่ายทำงานไปพร้อมกัน รวมถึงผู้หญิงไม่สามารถกลับไปทำงานเต็มเวลาหลังจากมีลูกได้


เช่นเดียวกับเกาหลีใต้ที่เรื่องนี้เป็นวาระเร่งด่วนระดับชาติ โดยเกาหลีใต้มีอัตราการเจริญพันธุ์ต่ำที่สุดในโลก หรือจำนวนบุตรโดยเฉลี่ยที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะมีในช่วงชีวิตการเจริญพันธุ์ ซึ่งในปี 2565 อัตราการเจริญพันธุ์อยู่ที่ 0.78 หรือทารกเกิดใหม่ 78 คนต่อผู้หญิง 100 คน ตัวเลขนี้ลดลงเหลือ 0.72 ในปี 2566 และ 0.68 ในปี 2567 ทำให้รัฐบาลมีแผนจะเพิ่มเงินอุดหนุนการเลี้ยงดูบุตร ขยายเวลาหยุดงานสำหรับคุณพ่อ กำหนดตารางงานที่ยืดหยุ่น และลดความยากลำบากของพ่อแม่ในการส่งลูกเข้าเรียน


อย่างไรก็ตาม วาเลนไทน์ยังคงเป็นเทศกาลสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการบริโภค โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ สมาคมค้าปลีกแห่งชาติสหรัฐฯ (NRF) เผยผลสำรวจล่าสุดพบว่า ผู้บริโภคอเมริกัน มีแนวโน้มใช้จ่ายในช่วงวันวาเลนไทน์ปีนี้อยู่ที่ราว 2.75 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 2.58 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว และเม็ดเงินใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 188.81 ดอลลาร์ต่อคน เพิ่มขึ้นจาก 185.81 ดอลลาร์ในปีที่แล้ว


ข้อมูลระบุด้วยว่า ผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง หรือราวร้อยละ 56 วางแผนจะเฉลิมฉลองในวันวาเลนไทน์ปีนี้  เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 53 ในปี 2567 ส่วนผู้ชายมีแนวโน้มที่จะเฉลิมฉลองในวันแห่งความรักปีนี้มากขึ้น โดยหนุ่ม ๆ ราวร้อยละ 55 ระบุว่ามีแผนจะฉลองวันวาเลนไทน์ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 51 ในปีที่แล้ว


สำหรับของขวัญที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปีนี้ ได้แก่ ลูกกวาด ร้อยละ 56 ตามด้วยดอกไม้ ร้อยละ 40, การ์ดอวยพร ร้อยละ 40, พาออกไปเที่ยวยามค่ำคืน ร้อยละ 35 และจิวเวลรี ร้อยละ 22 เมื่อพิจารณาจากเม็ดเงินที่ใช้จ่ายในสินค้าเหล่านี้ ชาวอเมริกันวางแผนจะใช้จ่ายสำหรับจิวเวลรีมากสุด 6.5 พันล้านดอลลาร์ ส่วน การออกไปเที่ยวตอนกลางคืน 5.4 พันล้านดอลลาร์, ดอกไม้ 2.9 พันล้านดอลลาร์, ลูกกวาด 2.5 พันล้านดอลลาร์  และการ์ดอวยพร 1.4 พันล้านดอลลาร์


รักแท้แพ้เศรษฐกิจ? สะท้อนวิกฤตโลก

สรุปข่าว

ที่มาข้อมูล : Reuters, CNN, Euromonitor, Statista

ที่มารูปภาพ : TNN

avatar

Adthawan Law
(Adthawan Law)