พาณิชย์ เปิดแนวทางเจรจา "ทรัมป์"

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลัง นายกรัฐมตรี มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานนโยบายการค้ากับสหรัฐ โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน ว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินติดตามนโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐ อย่างใกล้ชิด โดยเฝ้าระวังปริมาณการนำเข้าและส่งออก สำหรับรับมือกับนโยบาย มาตรการทางการค้าใหม่ ๆ ของสหรัฐ เพื่อให้ไทยได้รับผลกระทบน้อยที่สุด          

ทั้งนี้คณะทำงานจะทำหน้าที่ศึกษา จัดทำข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกลยุทธ์การเจรจากับรัฐบาลสหรัฐ โดยอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลการค้าและการลงทุนของสหรัฐ เพื่อนำไปสู่การเจรจาการค้าต่างตอบแทนกับคณะผู้บริหาระดับสูงของสหรัฐ ในโอกาสต่อไป        

ทั้งนี้ เชื่อว่าในการเจรจาการค้ากับสหรัฐ ทางสหรัฐต้องการลดการขาดดุลกับไทย จึงอาจเรียกร้องให้ไทยนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเกษตร ซึ่งไทยพยายามเจรจาต่อรองกับสหรัฐ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อเกษตรกรและตลาดในประเทศให้น้อยที่สุด 

ขณะเดียวกัน ไทยขอให้สหรัฐปลดไทยออกจากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามอง (ดับเบิลยูแอล) ด้านทรัพย์สินทางปัญญา และเร่งต่ออายุการให้สิทธิจีเอสพี ที่ได้หมดอายุไปเมื่อปลายปี 63 ให้เสร็จโดยเร็ว ซึ่งทางสหรัฐ จะเปิดทางให้ประเทศอื่น ๆ เจรจาทางการค้ากับสหรัฐ เพื่อลดการสูญเสียของสหรัฐ จากการดำเนินนโยบายขึ้นภาษีได้ด้วย        

นอกจากนี้ไทยจะเน้นรักษาตลาดเดิมกับสหรัฐ ด้วยนโยบาย รักษาตลาดเดิม เสริมตลาดใหม่ เพื่อกระจายความเสี่ยงของตลาดส่งออกและเพิ่มความหลากหลายของแหล่งนำเข้าวัตถุดิบ เช่น ตลาดจีนตอนใต้ อินเดีย และตะวันออกกลาง ควบคู่ไปกัปกับการเร่งรัดการเจรจาเอฟทีเอฉบับใหม่      

ส่วน กรณีสหรัฐอเมริกา เตรียมเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก-อะลูมิเนียมนั้น ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์คงต้องวิเคราะห์ผลกระทบอย่างละเอียด ทั้งในด้านโครงสร้างต้นทุนรายสินค้า การประเมินความสามารถในการแข่งขันหลังการปรับภาษี และการวิเคราะห์ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน พร้อมทั้งจัดทำฐานข้อมูลที่ครอบคลุมทั้งอัตราภาษีปัจจุบัน การเปรียบเทียบโครงสร้างภาษีกับประเทศคู่แข่ง

สรุปข่าว

พาณิชย์ เปิดแนวทางเจรจา รับมือ "ทรัมป์" ป่วนโลก พร้อมถกสหรัฐ ขอโควตาพิเศษไทย ส่งออกเหล็ก-อะลูมิเนียม จับกลุ่มอาเซียน ร่วมสู้อเมริกา เตรียมรับมือนำเข้าสินค้าเกษตรแก้ขาดดุล

ทั้งนี้ ไทยต้องมุ่งเจรจาการขอโควตาพิเศษสำหรับสินค้าสำคัญ และการกำหนดเงื่อนไขพิเศษสำหรับสินค้าบางประเภท พร้อมวางแผนทยอยขึ้นภาษีให้สอดคล้องกับระยะเวลาปรับตัวของอุตสาหกรรม และสร้างกลไกชดเชยผลกระทบที่เกิดขึ้น 

ขณะเดียวกัน จะต้องผลักดันความร่วมมือระดับภูมิภาค โดยให้อาเซียนกำหนดท่าที และมาตรการรับมือร่วมกัน เนื่องจากหลายประเทศในภูมิภาคได้รับผลกระทบในลักษณะเดียวกัน จึงควรรวมกลุ่มเพื่อช่วยเพิ่มอำนาจต่อรอง

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : TNN