ซีเอ็นบีซี รายงานว่า แมตเทล (Mattel) บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายของเล่นเด็ก รวมถึง ตุ๊กตาบาร์บี้ (Barbies) และ ฮอต วีลส์ (Hot Wheels) แบรนด์รถโมเดลของเล่น กำลังพิจารณาปรับขึ้นราคาสินค้าของบริษัทฯ ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการภาษีศุลกากรใหม่ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์
เนื่องจาก แมตเทล มีสินค้าที่ผลิตจากจีน และเม็กซิโก รวมกันราวร้อยละ 50 แบ่งเป็นผลิตในจีนร้อยละ 10 และจากเม็กซิโกเกือบร้อยละ 10
แอนโทนี ดิซิลเวสโทร (Anthony DiSilvestro) หัวหน้าฝ่ายการเงินของ แมตเทล กล่าวว่า บริษัทฯ กำลังดำเนินการเพื่อบรรเทาผลกระทบดังกล่าว โดยพิจารณาหาแหล่งซัพพลายที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงในการพึ่งพึงการผลิตจากที่ใดที่หนึ่งมากเกินไป
ซึ่งบริษัทฯ กำลังทำงานอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรค้าปลีก เพื่อบรรลุสมดุลที่เหมาะสม และคำนึงถึงผู้บริโภคเสมอเมื่อพิจารณาการดำเนินการด้านราคา
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ก็กำลังพิจารณาขึ้นราคาสินค้าด้วยเช่นกัน
ดังนั้น จะไปสำรวจกันอีกครั้งว่าภายใต้แผนภาษีของรัฐบาล ทรัมป์ 2.0 ส่วนที่ประกาศออกมาแล้วนั้น มีกลุ่มสินค้าใดบ้าง ได้รับผลกระทบโดยตรง และอาจต้องปรับขึ้นราคา โดยเฉพาะกำแพงภาษีที่อัตราร้อยละ 10 ของสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้ว
ได้แก่ กลุ่ม อิเล็กทรอนิกส์ โดย สำนักข่าว อีพี รายงานว่า จีน เป็นโรงงานผลิตอุปกรณ์เทคโนโลยีที่สำคัญ ซึ่งรวมบริษัทอเมริกันอย่าง แอปเปิล (Apple) ด้วย ซึ่งมีการประกอบผลิตภัณฑ์ในโรงงานที่ประเทศจีน (ซึ่งก็คือ ไอโฟน)
สรุปข่าว
โดยปี 2566 (ซึ่งเป็นปีที่มีการรายงานตัวเลขเต็มปี) พบว่า จีน เป็นประเทศหลัก ที่ส่งออก สมาร์ตโฟน และแล็ปท็อป ไปยังสหรัฐอเมริกา ซึ่งสมาร์ตโฟน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 78 ของการนำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ ส่วนการนำเข้าแล็บท็อป และแท็บเล็ต มีสัดส่วนร้อยละ 79 ของทั้งหมดที่นำเข้าในสหรัฐฯ
อีกกลุ่มสินค้า คือ เครื่องแต่งกาย และเครื่องประดับราคาถูก หรือ ฟาสต์ แฟชัน ซึ่งได้รับความนิยมผ่านแพลตฟอร์มทั้ง ชีอิน, เทมู และ อาลีเอ็กซ์เพรส ของ อาลีบาบา ก็ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 นี้ด้วย เพราะนอกจากจะมีการปรับภาษีศุลกากรใหม่แล้ว ยังมีคำสั่งของฝ่ายบริหาร ให้ระงับการยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือที่เรียกว่า ดี มินิมิส (de minimis) ซึ่งมีมานานเกือบศตวรรษ
สินค้ากลุ่มดังกล่าว จึงจะได้รับผลกระทบในด้านราคา และไม่เพียงอีคอมเมิร์ซจากจีนเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แอมะซอน (Amazon) ที่กำลังพยายามแข่งขัน ก็นำรูปแบบธุรกิจของอีคอมเมิร์ซจีน มานำเสนอผลิตภัณฑ์ราคาถูกที่ส่งตรงจากจีนด้วย จะได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยเฉพาะผู้ค้าบุคคลที่ 3 ที่ขายของบนแพลตฟอร์ม แอมะซอน
มีรายงานข่าวด้วยว่า เครื่องแต่งกายประมาณร้อยละ 30 เป็นสินค้านำเข้าจากจีน และตามประมาณการของ บลูมเบิร์ก อินเทลลิเจนซ์ (Bloomberg Intelligence) คาดว่า จากมาตรการภาษีดังกล่าว จะทำให้ราคาเสื้อผ้าบางแบรนด์เพิ่มขึ้นอีกราว ร้อยละ 2 จากราคาปัจจุบัน
กลุ่มรองเท้า และสนีกเกอร์ เป็นอีกกลุ่มสินค้าที่ต้องจับตามอง โดย แมตต์ พรีสต์ ประธานสมาคมผู้จัดจำหน่ายและผู้ค้าปลีกรองเท้าแห่งอเมริกา (Footwear Distributors and Retailers of America) ให้ข้อมูลกับทาง เอ็นบีซี บอกว่า รองเท้ามากกว่าครึ่งหนึ่งที่ขายในสหรัฐฯ นั้น มาจากจีน ทำให้คาดว่าผู้บริโภคน่าจะได้เห็นราคารองเท้าเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าต้นทุนบางส่วนจะถูกดูดซับโดยผู้ค้าปลีก และอื่น ๆ ตลอดห่วงโซ่ทุปทาน ก่อนก็ตาม
ซึ่งโดยทั่วไป รองเท้าผ้าใบ มีภาษีนำเข้าอยู่ที่ประมาณร้อยละ 20 รวมถึงภาษีร้อยละ 7.5 ที่เพิ่มเข้ามาในช่วงวาระแรกของประธานาธิบดี ทรัมป์ และหากเพิ่มอีกร้อยละ 10 คาดว่ารองเท้าผ้าใบระดับกลางอาจมีราคาเพิ่มจากต้นทุนอีก 18 ถึง 20 ดอลลาร์
ต่อมา กลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ ซึ่งบรรดาร้านซ่อมรถยนต์ที่นำเข้าจากจีน ก็คาดว่าจะมีราคาสูงขึ้น ขณะที่ รถยนต์ กรณีภาษีศุลกากรใหม่ที่มีผลใช้กับ สินค้านำเข้าจากเม็กซิโก และแคนาดา ที่ร้อยละ 25 คาดว่าจะส่งผลต่อราคารถยนต์ให้ปรับขึ้นไปอีกเฉลี่ยประมาณ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคัน
นอกจากกลุ่มของเล่นเด็ก และตุ๊กตา แล้ว ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามส่วนบุคคล ก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยนักวิเคราะห์จาก มอร์แกน สแตนลีย์ ได้คาดการณ์ว่า ธุรกิจด้านความงาม ที่ส่วนใหญ่ผลิตสินค้าจากจีน อาจต้องปรับขึ้นราคาประมาณร้อยละ 3 เว้นแต่ จะสามารถชดเชยต้นทุนเหล่านั้นได้ด้วยการเจรจาผ่อนปรนเงื่อนไขกับซัพพลายเออร์ หรือย้ายการผลิตออกจากจีนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ทารัง เอมิน (Tarang Amin) ซีอีโอ ของอีแอลเอฟ บิวตี้ (E.l.f. Beauty) ซึ่งที่มีฐานผลิตหลักในจีน ประมาณร้อยละ 80 กล่าวกับ ซีเอ็นบีซี บอกว่ารู้สึกโล่งใจที่ สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้ากับจีนในอัตราเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น เพราะเดิมเคยมีการพูดถึงตัวเลขที่สูงถึงร้อยละ 60 ส่วนจะมีการปรับขึ้นราคาหรือไม่นั้น จะต้องมีการพิจารณาอีกครั้งก่อนว่ามีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มสินค้าอื่น ๆ ที่ราคาอาจสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นของใช้ในครัวเรือนราคาถูก อย่างหม้อ และกระทะ กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าราคาถูก และเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น
โดยตัวเลขเต็มปี สำหรับปี 2566 พบว่าสหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากจีนในภาพรวม คิดเป็นมูลค่าประมาณ 427,000 ล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวในด้านมาตรการภาษีศุลกากรใหม่นี้ ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดกันต่อไป
บลูมเบิร์ก รายงานว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เตรียมที่จะประกาศภาษีศุลกากรใหม่เพิ่มเติมอีก ภายในสัปดาห์นี้ และการประกาศรอบนี้ จะเป็นการยกระดับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับพันธมิตรทางเศรษฐกิจขอสหรัฐฯ ขึ้นไปอีกขั้น และบอกด้วยว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะส่งผลกระทบกับทุกคน
ซึ่งสิ่งที่ ทรัมป์ พูดถึงก็คือ การค้าต่างตอบแทน (Reciprocal Trade) เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างเท่าเทียมกัน (ซึ่งหมายถึง การกำหนดกำแพงภาษีนำเข้าในระดับที่เท่ากัน ในสินค้าประเภทเดียวกัน กับประเทศที่ตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ)
และเขาบอกว่า นั่นเป็นวิธีเดียวที่ยุติธรรม ที่จะทำได้ และแบบนี้ก็จะไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ(เสียประโยชน์) เพราะเมื่อพวกเขาเรียกเก็บเงินจากเรา เราก็เรียกเก็บเงินจากพวกเขาเช่นกัน
บลูมเบิร์ก รายงานด้วยว่า การผลักดันให้มีการจัดเก็บภาษีศุลกากร ซึ่งกันและกันนั้น เป็นความพยายามของประธานาธิบดีสหรัฐฯ และที่ปรึกษาระดับสูงของเขาบางคน มานานแล้ว โดย ทรัมป์ ให้สัญญาระหว่างการหาเสียง ว่าจะผลักดันกฎหมายที่ให้อำนาจเขาในการตอบโต้ ประเทศใดก็ตามที่เรียกเก็บภาษีจากสินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ ด้วยการจัดเก็บภาษีอัตราเดียวกัน
ขณะเดียวกัน ทรัมป์ และที่ปรึกษาฯ ยังได้เสนอว่า สหรัฐฯ อาจใช้ภาษีศุลกากร เพื่อลดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากร ที่บังคับใช้โดยประเทศอื่น ๆ โดยเขากำลังแสวงหาข้อตกลงที่ยุติธรรมสำหรับผู้บริโภคชาวสหรัฐฯ

Passavee Thi
(passavee_thi)