ทำไม! แบรนด์อาหาร-เครื่องดื่ม "จีน" กว่า 60 แบรนด์ บุกอาเซียน l การตลาดเงินล้าน

รายงานฉบับล่าสุดของ โมเมนตัม เวิร์คส์ (Momentum Works) ระบุว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มจีนมากกว่า 60 แบรนด์ ได้ขยายฐานลูกค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน กันมากขึ้น โดยเร่งขยายสาขาเป็นจำนวนมาก ซึ่ง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 มีสาขาในอาเซียนแล้ว รวมกันกว่า 6,100 แห่ง เพิ่มขึ้นจาก ปี 2565 ที่มีจำนวนสาขารวมกันกว่า 1,800 แห่ง หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 3 เท่าภายใน 2 ปี จำนวนสาขาที่เพิ่มมากขึ้นนี้ ขับเคลื่อนโดยเชนร้านเครื่องดื่ม เช่น มี่เสี่ยว, วีดริงก์ และ ชาจี เป็นต้น ซึ่ง ชาจี เป็นแบรนด์ร้านชาจีน ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว ในมณฑลยูนนาน ซึ่งเป็นแหล่งกำเนินชาในประวัติศาสตร์ของจีน และเมื่อปีที่ผ่านมา ผู้ก่อตั้งชาจี เป้าขยายธุรกิจไปกว่า 100 ประเทศทั่วโลก 

ทั้งนี้ สิงคโปร์ และมาเลเซีย มีแบรนด์ร้านอาหารและเครื่งดื่มจีนอยู่หนาแน่นมากที่สุด ขณะที่ อินโดนีเซีย และ เวียดนาม มีสาขารวมกันประมาณ 2 ใน 3 ของจำนวนสาขาทั้งหมด โดยเฉพาะแบรนด์ที่จับกลุ่มตลาดแมส ซึ่งความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมระหว่างอาเซียนกับจีน ทำให้แบรนด์จีนสามารถหาพันธมิตรในภูมิภาคนี้ได้ง่ายขึ้น มีรายงานข่าวระบุด้วยว่า การขยายธุรกิจเข้ามาในอาเซียนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากตลาดในจีนเอง แข่งขันกันรุนแรง ทำให้แบรนด์ต่าง ๆ ต้องหาโอกาสการเติบโตในตลาดอื่น ๆ นอกประเทศจีน นอกจากแบรนด์ร้านเครื่องดื่มชา ที่กำลังขยายสาขาไปอย่างรวดเร็วแล้ว ร้านหม้อไฟอย่าง ไหตี่เลา (Haidilao) และ ร้านกาแฟชื่อดัง ลัคกิน คอฟฟี่ (Luckin Coffee) คู่แข่งสายแข็งของ สตาร์บัคส์ ก็มีการขยายสาขาเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

สรุปข่าว

โมเมนตัม เวิร์ค รายงานอีกว่า ตลาดร้านอาหารและเครื่องดื่มในจีน มีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 748,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ซึ่งเป็นตัวเลข ปี 2566) และจากการแข่งขันที่รุนแรง รวมถึงความท้าทายของเศรษฐกิจ ทำให้ปี 2567 ร้านอาหารในจีนปิดตัวลง เป็นจำนวนมาก แต่ด้วยการแข่งขันสูง นี่เอง ทำให้แบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มจีน มีการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันในทุกส่วนของการดำเนินงาน รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทาน ประสิทธิภาพการดำเนินงาน การออกแบบแนวคิด การจัดการแฟรนไชส์ และการตลาดออนไลน์

Jianggan Li (เจียงกัง หลี่) ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โมเมนตัม เวิร์คส์ กล่าวว่า ภูมิภาคอาเซียนได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้น ๆ ของแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มจีน ที่ต้องการขยายธุรกิจไปทั่งโลก และแม้จะทำให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นมีความท้าทายมากขึ้น แต่เชื่อว่าจะช่วยสร้างระบบนิเวศอาหารและเครื่องดื่มในตลาดภูมิภาคนี้ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้

โดยตลาดร้านอาหารและเครื่องดื่มในอาเซียน ปี 2567 ที่ผ่านมา มีมูลค่าสูงถึง 132,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีอัตราการเติบโตร้อยละ 4.6 จากปีก่อนหน้า

แม้ว่าอาเซียนจะมีขนาดเพียงร้อยละ 17 ของตลาดตลาดจีน แต่ก็มีภูมิทัศน์ของการแข่งขันน้อยกว่า ขณะเดียวกัน มีการฟื้นตัวของการรับประทานอาหารนอกบ้านได้ชัดเจนขึ้น โดยแบรนด์จีน จะยังคงบุกหนักในตลาดอาเซียนมากขึ้น ด้วยการใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ ทั้งการขยายสาขา และการใช้ตัวมาสคอตในการโปรโมทแบรนด์ รวมถึงกลุยทธ์การตลาดอื่น ๆ 

เช่นที่ผ่านมา มีการการคอลแลบ ระหว่าง แบรนด์ร้านกาแฟรายใหญ่ของจีน ลัคกิน คอฟฟี่ และ น้องหมีเนย หรือร้านขนมปังแบรนด์ Butterbear ในกรุงเทพฯ ในการจัดแคมเปญส่งเสริมการขายร่วมกัน จนได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม 

สำหรับธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มในจีนเอง ด้วยการแข่งขันที่ดุเดือดมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศจีน มีรายงานตัวเลขล่าสุดว่า ปี 2567 ที่ผ่านมา ร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านอาหารอื่น ๆ ได้ปิดตัวลงไปเกือบ 3 ล้านแห่ง

ซึ่งตามรายงานของ Radio Free Asia -RFA หรือ อาร์เอฟเอ ระบุว่า ร้านอาหารในจีนจำนวนมากที่ปิดตัวลงไป เกิดจากปัญหาธุรกิจล้มละลาย และบางส่วนเป็นการปิดสาขาไปหลายร้อยแห่งจากแบรนด์ร้านยอดนิยม เพื่อลดต้นทุนการดำเนินงาน

เช่น เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ร้านเจิ้งห่าว ต้า ต้า (Zhenghao Da Da) ซึ่งเป็นเครือร้านไก่ทอดชั้นนำของไต้หวัน ได้กลายเป็นไวรัล บน แอป เว่ยป๋อ (Weibo) หลังจากประกาศว่าจะปิดร้านทั้งหมดในจีน โดยเริ่มจากร้านเรือธงในห้างสรรพสินค้า นิว เวิร์ล ซิตี้ พลาซ่า (New World City Plaza) ที่เซี่ยงไฮ้ ก่อน

การปิดกิจการของร้านอาหารในจีน นั้น อาร์เอฟเอ รายงานด้วยว่า เกิดขึ้นในทุกประเภทของธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม มีตั้งแต่ร้านกาแฟ เบเกอรี หม้อไฟ ร้านขนม และฟาสต์ฟู้ด รวมไปถึงบรรดาร้านอาหารชั้นนำสไตล์ตะวันตกอีกหลายราย ไม่เว้นแม้แต่ ร้านที่มีเชฟระดับมิชลินสตาร์ 3 ดาว ก็ต้องปิดตัวลงไป ส่วนธุรกิจร้านขนม เบเกอรี และเครื่องดื่ม ที่ ได้รับผลกระทบและปิดสาขาไปเป็นจำนวนมาก เช่น เชนร้านชานม Taigai,(ไทไก) Jixu Fresh Fruit Coffee (จี้ซือ เฟรช ฟรุต คอฟฟี) และ Thank You Tea (แต้ง คิว ที) เป็นต้น 

อย่างไรก็ดี ยังมีแบรนด์ที่มีการขยายธุรกิจออกต่างประเทศ และการขยายสาขาก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว เช่น มีเสวี่ย ที่ปัจจุบันมีสาขา แซงหน้า สตาร์บัคส์ และ แมคโดนัลด์ ขึ้นแท่นเป็น เชนร้านอาหารและเครื่องดื่มที่มีจำนวนสาขา มากที่สุดในโลก แต่หากดูในแง่ยอดขาย มี่เสวี่ย จะยังอยู่ในอันดับที่ 4

เป็นรายงานข่าว โดยโมเมนตัม เวิร์คส์ เผยว่า จากหนังสือชี้ชวนขายหุ้น ของมี่เสวี่ย ที่ยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง พบว่า ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 มี่เสวี่ย มีสาขาทั่วโลก เป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวนทั้งสิ้น 45,302 ร้านค้า โดยใช้เวลาเพียง 1 ปี ในการขยับจากอันดับ 4 ขึ้นมาอยู่อันดับ 1 ของแบรนด์ที่มีจำนวนร้านมากที่สุดในโลกได้

โดยมี่เสวี่ย มีสาขาในอินโดนีเซียมากถึง 2,667 แห่ง ตามมาด้วย เวียดนาม 1,304 แห่ง มาเลเซีย 337 แห่ง ไทย 272 แห่ง และ ฟิลิปปินส์ 98 แห่ง

จากรายงานข้อมูลพบว่า แมคโดนัลด์ มีจำนวนสาขาทั่วโลกเป็นอันดับ 2 ด้วยจำนวน 43,000 ร้านค้า ส่วน สตาร์บัคส์ อยู่อันดับ 3 จำนวน 40,199 แห่ง

ส่วนอันดับ 4 และ 5 คือ ซับเวย์ และ เคเอฟซี ตามลำดับ ขณะที่ ลัคกิน คอฟฟี่ อยู่อันดับที่ 6 ซึ่ง ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 มีสาขาทั่วโลก อยู่จำนวน 21,343 แห่ง

อย่างไรก็ตาม ในแง่ของยอดขาย มี่เสวี่ย จัดอยู่ในอันดับ 4 ของแบรนด์ร้านเครื่องดื่มแบบชงสด 

มาดูกันต่อ 5 อันดับแรกที่มียอดขายสูงที่สุดกัน อันดับที่ 1 คือ สตาร์บัคส์ เป็นผู้นำด้านยอดขาย ด้วยมูลค่า 55,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามมาด้วย อินสไปร์ แบรนด์ส หรือ ดังกิ้น มียอดขาย 14,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ อันดับ 3 เป็น ทิม ฮอร์ตันส์ (แบรนด์ร้านกาแฟจากแคนาดา) มียอดขาย 7,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 

ส่วน อันดับ 4 คือ มี่เสวี่ย ที่มียอดขายราว 6,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ ลัคกิน คอฟฟี่ อันดับ 5 มียอดขาย 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ


ที่มาข้อมูล : -

ที่มารูปภาพ : -