ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร แสดงความเห็นไว้ในเว็บบอร์ดของสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) ระบุว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของไทยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ติดลบไปแล้วร้อยละ 6.1 ซึ่งเป็นการตกลงมาอย่างต่อเนื่องจากปลายปีที่แล้ว ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ หุ้นที่ตกลงมานั้น เกิดขึ้นในแทบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมและแทบทุกกลุ่มหุ้น เช่น หุ้น “เก็งกำไร” // หุ้น “ปั่น” // หุ้น “VI” และหุ้น “ปันผล”
ดร.นิเวศน์ มองว่าการตกลงมาของหุ้นรอบนี้ ดูเหมือนว่าจะยังไม่จบ พร้อมตั้งข้อสังเกตุว่าอาจจะเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น เพราะเหตุผลที่ทำให้หุ้นตกนั้นยังคงอยู่ “ครบถ้วน” ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของ GDP ที่ดูเหมือนว่าจะไม่ดีขึ้นในปีนี้ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเอง ก็ “คงจะไม่ลด” ส่วนกำไรของบริษัทจดทะเบียนก็น่าจะไม่ดีขึ้น เพราะความต้องการสินค้าในประเทศที่ยังอ่อนแอ จากอานิสงค์ภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ดี การใช้จ่ายรายการใหญ่เช่น การซื้ออสังหาริมทรัพย์และรถยนต์ยังไม่ฟื้นตัว และสุดท้าย คือมูลค่าหุ้นโดยรวมมีราคาแพงวัดจากค่า PE ที่สูงถึง 18 เท่า
จะมีที่เป็นบวกอยู่บ้างก็คือ ปัจจัยทาง “เทคนิค” ที่ว่าดัชนีหุ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา “เลวร้าย” มาก โดยในปี 2565 บวกแค่ร้อยละ 0.7 // ก่อนที่ต่อมาปี 2566 จะติดลบร้อยละ 15.2 และปีที่แล้ว ติดลบอีกร้อยละ 1.1 ดังนั้น ปี 2568 ดัชนีไทยก็ควรจะต้องดี ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เคยเป็นติดต่อกันมากว่า 20 ปี
แต่อย่างไรก็ตาม ในฐานะของคนที่เน้นเรื่องของ “พื้นฐาน” เป็นหลัก ดร.นิเวศน์เชื่อว่า “รอบนี้” ตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนแปลงไปแล้ว และนักลงทุนก็จะต้องเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนตาม โดยสิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างยิ่งคือต้องปรับ “โหมด” การลงทุนจากโหมด “รุก” เป็นโหมด “รับ” เต็มตัว
ทั้งนี้ หากประเมินภายใต้สถานการณ์ตลาดหุ้นในปัจจุบัน ดร.นิเวศน์ชี้ว่า นักลงทุนอาจจะต้องเปลี่ยนวิธีการลงทุนจากเดิม ที่เน้นลงทุนในหุ้นเติบโต หุ้นวัฎจักร หรือหุ้นฟื้นตัว ที่มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนมาก ๆ ในเวลาอันสั้น มาเป็นการลงทุนในหุ้นที่มี "ความปลอดภัยสูงเป็นพิเศษ" หรือไม่ก็ไม่ลงทุนในหุ้นเลย เพื่อที่จะ “รักษาความมั่งคั่ง” เอาไว้ ซึ่งการรักษาความมั่งคั่งเอาไว้ให้เท่ากับระดับเดิมหรือใกล้เคียงนั้น วิธีที่ดีและปลอดภัยที่สุดก็คือ ถือ "เงินสดให้มากที่สุด"
คำถามต่อมาคือ ถ้าจะเลือกหุ้นที่จะขายเพื่อเก็บเป็นเงินสด ก็ควรจะพิจารณาหุ้นประเภทไหน ดร.นิเวศน์ชี้เป้าไปที่หุ้นที่มีราคาแพง โดยเฉพาะที่มีค่า PE สูงและกำไรในช่วงประมาณ 1-2 ไตรมาสข้างหน้าคงไม่โตนัก หุ้นกลุ่มนี้ ควรเป็นเป้าหมายที่ควรจะขายออกไป ยังรวมถึงหุ้นที่ราคาไม่แพง แต่ไม่มีอะไรโดดเด่น และที่สำคัญ ก็ไม่ได้จ่ายปันผลมากเทียบกับราคาหุ้น เช่น ให้ปันผลตอบแทนแค่ร้อยละ 3-4 ก็เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่ควรจะถูกขายออกไป เพื่อเก็บเป็นเงินสดจะดีกว่า เพราะความเสี่ยงที่จะมูลค่าจะลดลงนั่นมีน้อยกว่า
สรุปข่าว
ส่วนหุ้นที่อาจจะถือไว้ได้ และยังสามารถรักษาความมั่งคั่งไว้ได้ ควรเป็นหุ้นที่มีค่า PE ปกติต่ำกว่า 10 เท่า และจ่ายปันผลร้อยละ 5-6 ต่อไปขึ้นไปต่อเนื่องหลายปี ซึ่งถ้าจะให้ปลอดภัยขึ้นอีก ก็ควรจะต้องดูว่าหนี้ของบริษัทนั่นๆ มีน้อยกว่าเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันด้วย เพราะบริษัทที่มีหนี้น้อยนั้น จะยืนอยู่ได้ในยามที่ธุรกิจอยู่ในภาวะที่ยากลำบาก
และหุ้นอีกประเภท ที่แนะนำถือต่อได้ คือหุ้นที่อยู่ในประเทศที่เติบโตเร็วและอนาคตก็ยังคงเติบโตเร็วต่อไป อย่างตลาดหุ้นเวียดนาม โดยถ้าหุ้นนั่นมีราคาถูก เช่นมีค่า PE 10-15 เท่า ไม่ได้เป็นธุรกิจเก่าที่ไม่โตแล้ว หรือไม่ได้เป็นธุรกิจของรัฐที่มีการบริหารงานที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็มองว่ามีความเสี่ยงที่ราคาจะลดลงแรง น้อยกว่าในตลาดหุ้นไทยมาก โดยเฉพาะหุ้นที่มีคุณสมบัติที่จะกลายเป็นหุ้น "ซุปเปอร์สต็อก" ที่มีค่า PE ในระดับไม่เกิน 25 เท่า และการเติบโตของรายได้หรือกำไรยังคงเป็นเลข 2 หลัก เพราะความเสี่ยงที่หุ้นจะตกมาแรงและทำลายความมั่งคั่งนั้น มีโอกาสน้อยกว่า และอาจจะคอย “ชดเชย” การขาดทุนในตลาดหุ้นไทย ทำให้เราสามารถรักษาความมั่งคั่งไม่ให้ลดลงได้
ส่วน “หุ้นโลก” ซึ่งเป็นหุ้นระดับ "ซุปเปอร์สต็อก" ที่ส่วนใหญ่จดทะเบียนในตลาดหุ้นอเมริกานั้น พบว่าราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และหุ้นก็มีราคาค่อนข้างแพง ด้วยค่า PE ระดับ 30 เท่า จึงมองว่าน่าจะเป็นอีกหนึ่งกลุ่มหุ้น ที่ไม่สามารถไว้ใจได้ ว่าจะช่วยรักษาความมั่งคั่งได้ในช่วงเร็ว ๆ นี้ เพราะหากมีเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและภูมิรัฐศาสตร์เกิดขึ้น จะกระทบกับหุ้นได้อย่างรุนแรง บางทีในชั่วข้ามคืน
ดร.นิเวศน์ ทิ้งท้ายว่า ทั้งหมดคือกลยุทธ์การเลือกหุ้นในแบบที่จะรักษาความมั่งคั่งไว้ ไม่ให้ลดลงเป็นหลัก เช่นเดียวกับกลยุทธถือเงินสดให้มากขึ้น ซึ่งก็จะลดความเสี่ยงในการที่หุ้นจะตกลงมารุนแรงด้วย อย่างไรก็ตาม การถือเงินสดที่มากเกินไปก็อาจจะไม่เหมาะสม เพราะโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีก็อาจจะหมดไปด้วย
นอกจากนี้ ดร.นิเวศน์ยังให้ข้อเตือนใจไว้ด้วยว่า "อย่าโลภจนคิดถึงแต่ความมั่งคั่งที่จะเพิ่มขึ้น แต่จงคิดถึงวิธีที่จะรักษาความมั่งคั่งให้คงอยู่ตลอดไปมากกว่า ซึ่งก็ไม่ใช่อยู่เฉย ๆ และถือเงินสด แต่เป็นการลงทุนที่ยึดความปลอดภัยโดยเฉพาะในยามที่ตลาดไม่เอื้ออำนวยเป็นหลัก"
ที่มาข้อมูล : ThaiVI.org
ที่มารูปภาพ : ThaiVI.org