

สรุปข่าว
ฝ่ายวิจัยบล.เอเซียพลัสระบุว่า ปัญหาความตึงเครียดยูเครน-รัสเซีย เริ่มเห็นสัญญาณคลี่คลาย หลังจากวันอังคารมีสัญญาณถอยกำลังทหารบางส่วนจากฝั่งรัสเซียดังกล่าว ขณะที่การรายงานผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (Fed Minute) ของงวดการประชุมเดือน ม.ค. 2565 ที่ผ่านมา พบว่า Fed ยังเน้นย้ำถึงการดำเนินการนโยบายการเงินแบบตึงตัว
• การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย: Fed Minute ระบุว่าจากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐที่สูงกว่าเป้า 2% และตลาดแรงงานที่ฟื้นตัวดี คณะกรรมการจึงมองว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเร็วๆนี้ จะมีความเหมาะสม
• การปรับลดขนาดดุล (Balance Sheet Reduction): Fed Minute เผยว่า คณะกรรมการประเมินว่าการปรับลดงบดุลอย่างมีนัย จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ (sometime later this year)
รายงาน Fed Minute ข้างต้นที่ดูไม่ได้มีการส่งสัญญาณนโยบายการเงินเพิ่มเติม โดยเฉพาะการปรับลดขนาดดุลที่ยังไม่ชัดเจนนัก ส่งผลให้ตลาดการเงินโลกผ่อนคลายความกังวลลงมาบางส่วน โดยล่าสุดผลสำรวจของ Bloomberg พบว่าตลาดปรับมุมมองอัตราดอกเบี้ยของ Fed ลงเล็กน้อย จากเดิมที่การประชุมในเดือน มี.ค. 2565 เคยคาดว่าจะมีโอกาสขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปที่ระดับ 0.5% ลงเหลือ 0.45%
มุมมองดังกล่าวของตลาดสะท้อนว่า ตลาดการเงินโลกเริ่มผ่อนคลายความกังวลการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐลง ซึ่ง ASPS คาดว่าจะเป็นบวกต่อตลาดหุ้นโลกและตลาดหุ้นไทยในวันนี้ ส่วนในระยะต่อไป แนะนำติดตามการประชุม Fed วันที่ 15-16 มี.ค. 2565 และในครั้งนี้จะมีการเผยแพร่ประมาณเศรษฐกิจสหรัฐและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยด้วย
อย่างไรก็ตาม จากทั้ง 2 ประเด็นในช่วงวันหยุดที่ผ่านมาเริ่มคลี่คลายดังกล่าวข้างต้นคาดการกลับทิศทางตรงข้ามของสินทรัพย์ต่างๆ คือทำให้เงินไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัย ทั้งทองคำ พันธบัตรรัฐบาล ฯลฯ เข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงคือ ตลาดหุ้น
สำหรับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ที่เคยปรับขึ้นมาก่อนหน้า หลักๆ เช่น น้ำมันดิบ , แก็สธรรมชาติ , ถ่านหิน หากสถานการณ์คลี่คลายต่อเนื่องประเมิน Upside ในการปรับขึ้นของราคาประเมินน่าจะจำกัด หรืออาจจะผ่านจุด Peak หรือเริ่มปรับลง
ทั้งนี้จะเป็น Sentiment (-) ลบต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน กลุ่มน้ำมัน PTT , PTTEP กลุ่มโรงกลั่น TOP, IRPC ฯลฯ
ในทางตรงข้ามกลุ่มที่จะได้ประโยชน์หรือ Sentiment บวก(+) คือ
1.กลุ่มโรงไฟฟ้า : ราคาหุ้นก่อนหน้าหลายบริษัทก่อนหน้าถูกกดดันจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับขึ้นมาในช่วงก่อนหน้า ทั้งน้ำมันดิบ, แก็สธรรมชาติ, ถ่านหิน โดยบริษัทกลุ่มโรงไฟฟ้า มีต้นทุนจาก แก๊สธรรมชาติราวๆ 50-60% ของ ต้นทุนรวม (BGRIM และ GPSC)
ส่วน BPP ต้นทุนส่วนใหญ่มาจากถ่านหิน หากต้นทุนแก็สธรรมชาติและถ่านหิน ทิศทางเริ่มทรงตัวและปรับลง เป็นปัจจัยบวกต่อ กลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ขายไฟให้กับโรงงานอุตสาหกรรม ได้ประโยชน์ อาทิ BGRIM, GPSC, BPP คำแนะทางพื้นฐานสำหรับลงทุนระยะกลางถึงยาว ยังแนะนำ ซื้อ BGRIM, GPSC
2. กลุ่มเครื่องดื่ม อาทิ CBG, OSP ราคาหุ้นก่อนหน้า ถูกกดดันจากราคาอลูมิเนียมปรับขึ้นราว 11% ytd โดยเฉพาะ CBG ต้นทุนจากกระป๋องสัดส่วน 35-40%ของยอดขาย ส่วนต้นอื่นๆ อาทิ แก็สธรรมชาติ คาดจะได้ Sentiment บวก
3.กลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม อาทิ CENTEL ERW MINT 4.กลุ่มสนามบิน คือ AOT คาดได้ประโยชน์จากการที่นักท่องเที่ยวมีความมั่นใจท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น หากสงครามไม่บานปลาย 5.กลุ่มสายการบิน AAV และ BA ได้ Sentiment บวกจากราคาพลังงานที่ปรับลดลง จากน้ำมันที่เป็นต้นทุนของบริษัท โดยน้ำมันเป็นต้นทุนคิดเป็นสัดส่วน 30-40 % ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด
6.กลุ่มวัสดุก่อสร้าง อาทิ TASCO, SCC, DCC ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันลงโดย TASCO มีต้นทุนน้ำมันที่นำมาผลิตยางมะตอยลดลง SCC (มีต้นทุนพลังงานลด โดยก๊าซ, ถ่านหิน,ค่าไฟ คิดราว 70% ของต้นทุนผลิต) DCC (ต้นทุนก๊าซธรรมชาติ 28% ของต้นทุนการผลิต)โดยรวมคำแนะนำจากสถานการณ์ต่างประเทศ 2 ประเด็นคลี่คลาย หุ้นในกลุ่มต่างๆดังรูป เป็นกลุ่มที่น่าสนใจกลับเข้าไปเก็งกำไร
ที่มา บล.เอเซียพลัส
ภาพประกอบ พิกซาเบย์
ที่มาข้อมูล : -