
“ราคาทองทะลุห้าหมื่นบาทแล้ว!” ข่าวนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของนักลงทุนหรือร้านทองเท่านั้น แต่เป็นสัญญาณที่ชวนให้เราทุกคนต้องตั้งคำถามว่า… “นี่คือโอกาส หรือเป็นเสียงเตือนจากเศรษฐกิจโลกกันแน่?”

สรุปข่าว
เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ราคาทองคำในประเทศไทยพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ โดยทองคำแท่งขายออกบาทละ 49,350 บาท ส่วนทองรูปพรรณขายออกอยู่ที่ 50,150 บาท (เป็นครั้งแรกที่ราคาทองแตะระดับ 5 หมื่นบาทต่อบาททองคำจริงๆ) ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดในรอบหลายปี และทำสถิติใหม่ต่อเนื่องถึง 17 ครั้งในปีนี้เพียงปีเดียว
“ทองแพง” แปลว่าอะไร?
หลายคนเห็นทองขึ้น อาจตีความว่า “เศรษฐกิจดี เงินมีค่า” แต่ในความจริง ทองที่แพงขึ้นนั้น มักสะท้อนตรงกันข้าม เพราะนักลงทุนทั่วโลกมักแห่ซื้อทองในเวลาที่ไม่มั่นใจต่อเศรษฐกิจโลก
รอบนี้สาเหตุหลักๆ ที่ดันราคาทองให้พุ่งแรง ได้แก่
- ความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศมหาอำนาจ (มีการขึ้นภาษีนำเข้าอย่างรุนแรง โดยเฉพาะรถยนต์)
- ความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ รวมถึงตะวันออกกลาง
- ธนาคารกลางของหลายประเทศ (รวมถึงจีนและรัสเซีย) ซื้อทองเพิ่ม เพื่อใช้เป็นทุนสำรอง
- ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง อยู่ที่ประมาณ 33.89 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ (ทำให้ราคาทองในประเทศสูงขึ้นตาม)
ใครได้ประโยชน์? ใครลำบาก?
ข่าวดีคือ… คนที่ถือทองเก็บไว้นานๆ ได้กำไรทันที เพราะทองที่ซื้อไว้เมื่อหลายปีก่อน (บาทละสามหมื่นต้นๆ) ตอนนี้ขายออกได้เกือบห้าหมื่นบาท บางคนรีบเอาทองไปขายทันทีเพื่อแลกเป็นเงินสดใช้จ่าย
แต่ข่าวร้ายก็คือ… คนที่ไม่มีทอง หรืออยากซื้อใหม่ ต้องเจอราคาที่สูงสุดในประวัติศาสตร์
แถมยังต้องจ่าย “ค่ากำเหน็จ” เพิ่มอีก (เฉลี่ยประมาณ 800 บาทต่อบาททองรูปพรรณ)
ที่สำคัญคือ ช่วงนี้มีรายงานว่า คนที่นำทองมาขาย มีมากถึง 80-90% ของลูกค้าทั้งหมดในร้านทอง
ซึ่งสะท้อนว่า “ชาวบ้านกำลังต้องการเงินสด” มากกว่าความอยากเก็บทอง
ลองคิดตามดูนะครับ… ถ้าเศรษฐกิจดี คนจะไม่จำเป็นต้องรีบขายทอง
แต่ตอนนี้ หลายคนต้องแลกทองเป็นเงินเพื่อใช้จ่าย
แสดงให้เห็นว่า “ทองแพง แต่เงินขาดมือ” กำลังเป็นความจริงในสังคม
จะซื้อหรือจะขาย ต้องคิดให้ดี
คำถามคือ… “แล้วตอนนี้ควรซื้อหรือควรขาย?”
ถ้ามีทองอยู่แล้ว และจำเป็นต้องใช้เงิน การขายออกตอนนี้ก็ถือว่าเป็นจังหวะที่ดี (เพราะได้ราคาสูง)
แต่ถ้าไม่มีความจำเป็น ควรรอจังหวะก่อน เพราะราคาทองอาจยังขึ้นได้อีก หรืออาจย่อลงหากสถานการณ์โลกผ่อนคลาย
ในทางกลับกัน ถ้าคิดจะซื้อทองตอนนี้ ต้องระวังว่าจะ “ซื้อตอนราคาพีค” ซึ่งเสี่ยงสูง
เพราะถ้าทองย่อลงเร็ว อาจขาดทุนได้ง่ายๆ โดยเฉพาะทองรูปพรรณที่มีค่ากำเหน็จ
(คำแนะนำคือ: อย่ารีบซื้อเพราะกลัวตกรถ ถ้าซื้อ ควรซื้อแบบทยอยเก็บและใช้เงินเย็น)
ราคาทอง = สัญญาณจากเศรษฐกิจโลก
สิ่งสำคัญที่เราอยากชวนให้คิดคือ…
“ราคาทองไม่ใช่แค่เรื่องของเครื่องประดับ หรือการลงทุน แต่มันสะท้อนความกลัว ความไม่มั่นใจ และความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจโลก”
วันนี้ทองขึ้น… วันหน้าอะไรจะขึ้นตาม?
วันนี้คนขายทองเพราะต้องใช้เงิน… แล้วระบบเศรษฐกิจรองรับเขาได้แค่ไหน?
การที่ราคาทองทะลุ 50,000 บาท อาจฟังดูน่าตื่นเต้น
แต่มันก็เหมือนเสียงกระซิบเบาๆ ว่า “บางอย่างในระบบกำลังไม่ปกติ”
และในขณะที่ทองยังขึ้นไม่หยุด คำถามที่ควรคิดต่อคือ…
“แล้วเราพร้อมหรือยัง ถ้าวันหนึ่งทองลงแรง… แต่ของจำเป็นในชีวิตดันแพงขึ้นทุกวัน?”
ที่มาข้อมูล : TNN เรียบเรียง
ที่มารูปภาพ : Freepik

ยศไกร รัตนบรรเทิง
เบน