‘แพทองธาร’ รอดศึกซักฟอก สะท้อนจุดอ่อนฝ่ายค้านไทยยุคนี้ จริงหรือ?

แพทองธาร รอดศึกซักฟอก: ย้ำภาพฝ่ายค้านไทย "ไม่แข็งพอ"

การรอดพ้นจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจของนายกรัฐมนตรีแพทองธารเมื่อเร็วๆ นี้ ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจแต่อย่างใด หากมองย้อนประวัติศาสตร์การเมืองไทย เราจะพบว่านี่คือ "บทละครเดิม" ที่เล่นซ้ำมาหลายทศวรรษ—รัฐบาลเกือบทุกชุด "รอด" จากการลงมติไม่ไว้วางใจ ไม่ว่าการอภิปรายจะดุเดือดเพียงใด

‘แพทองธาร’ รอดศึกซักฟอก สะท้อนจุดอ่อนฝ่ายค้านไทยยุคนี้ จริงหรือ?

สรุปข่าว

แพทองธารรอดอภิปรายไม่ไว้วางใจ สะท้อนปัญหาเดิมฝ่ายค้านสู้รัฐบาลเสียงข้างมากไม่ได้ แม้อภิปรายหนักก็แพ้โหวตซ้ำซาก ชี้ฝ่ายค้านควรเน้นสร้างแรงกดดันจากประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงการเมืองระยะยาว

ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ทำไมฝ่ายค้านไทยแพ้โหวตทุกครั้ง

หากสังเกตการณ์อภิปรายไม่ไว้วางใจในยุคต่างๆ เราจะเห็นแบบแผนชัดเจน

ยุคทักษิณ (2544-2549): ฝ่ายค้านนำโดยพรรคประชาธิปัตย์อภิปรายเชิงรุก มีการเตรียมข้อมูลอย่างละเอียด แต่ด้วยเสียงข้างมากท่วมท้นของไทยรักไทย รัฐบาลจึงรอดมติทุกครั้ง (ทักษิณได้รับเสียงไว้วางใจมากกว่า 300 เสียง)

ยุคอภิสิทธิ์ (2551-2554): ฝ่ายค้านเพื่อไทยอภิปรายเน้นประเด็นการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง แต่รัฐบาลยังมีเสียงสนับสนุนจาก 6 พรรคร่วม ทำให้อภิสิทธิ์รอด (246 ต่อ 186 เสียง)

ยุคยิ่งลักษณ์ (2554-2557): ฝ่ายค้านประชาธิปัตย์โจมตีเรื่องโครงการรับจำนำข้าวอย่างหนัก แต่พรรคเพื่อไทยและพันธมิตรมีเสียงข้างมากเด็ดขาด ทำให้ยิ่งลักษณ์ชนะโหวต (297 ต่อ 134 เสียง)

ยุคประยุทธ์ (2562-2566): ฝ่ายค้านเพื่อไทย-ก้าวไกลรวมตัวกันอภิปรายถึง 4 ครั้ง แต่รัฐบาลรอดทุกครั้ง (ครั้งสุดท้ายประยุทธ์ได้รับเสียงไว้วางใจ 256 ต่อ 206 เสียง)

แล้วการอภิปรายไม่ไว้วางใจแพทองธารก็เดินตามรอยเดิม—รัฐบาลชนะโหวต ฝ่ายค้านแพ้ไปตามระเบียบ

"คณิตศาสตร์การเมือง" ที่ฝ่ายค้านเอาชนะไม่ได้ 

เหตุใดประวัติศาสตร์จึงซ้ำรอยเช่นนี้? คำตอบคือ "ตัวเลข" ในสภานั่นเอง รัฐบาลไทยเกือบทุกชุดมี "เสียงข้างมากในสภา" อยู่แล้ว (นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้) เมื่อถึงเวลาโหวต ผลลัพธ์จึงแทบจะถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า

ปัจจัยที่ทำให้รัฐบาลรอดเสมอมีหลายประการ

- วินัยพรรคที่เข้มงวด: ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาลแทบไม่กล้าแหกมติ

- การต่อรองผลประโยชน์: มีการจัดสรรตำแหน่งและงบประมาณแลกเสียงสนับสนุน

- ความเกรงกลัวการสูญเสียอำนาจ: พรรคร่วมไม่อยากให้รัฐบาลล้มเพราะกลัวเสียตำแหน่งรัฐมนตรี

ฝ่ายค้านทำอภิปรายไปเพื่ออะไร

หากชนะโหวตไม่ได้ ทำไมฝ่ายค้านยังอุตส่าห์อภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งแล้วครั้งเล่า คำตอบคือ พวกเขาไม่ได้หวังชนะในสภา แต่หวังชนะใจประชาชน

ฝ่ายค้านใช้เวทีนี้เพื่อ

- เปิดโปงข้อมูล: นำหลักฐานทุจริตหรือบริหารผิดพลาดมาเผยแพร่สู่สาธารณะ

- ชี้ประเด็นร้อน: กระตุ้นให้สังคมตั้งคำถามต่อการทำงานของรัฐบาล

- สร้างกระแส: ทำให้ประเด็นที่อภิปรายเป็นวาระแห่งชาติ กดดันรัฐบาลทางอ้อม

- เก็บเกี่ยวคะแนนนิยม: เตรียมฐานเสียงสำหรับการเลือกตั้งครั้งถัดไป

ผลกระทบที่ตามมา ถึงไม่ล้มในสภา แต่อาจล้มนอกสภา

น่าสนใจว่าแม้รัฐบาลจะรอดจากการลงมติในสภา แต่หลายครั้งกลับต้องเผชิญผลสะเทือนทางการเมืองในภายหลัง:

- บางรัฐบาลต้อง "ปรับ ครม." เปลี่ยนตัวรัฐมนตรีที่มีภาพลักษณ์เสียหาย

- บางกรณีนายกฯ เลือก "ยุบสภา" หรือ "ลาออก" เพื่อหนีแรงกดดัน

- ข้อมูลจากการอภิปรายถูกส่งต่อให้ "องค์กรอิสระ" เช่น ป.ป.ช. ตรวจสอบต่อ

หลายครั้งการอภิปรายไม่ไว้วางใจคือจุดเริ่มต้นของ "วิกฤตการเมือง" ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระยะยาว

"เกมซักฟอก" ของฝ่ายค้านในอนาคต

ประเด็นท้าทายของฝ่ายค้านยุคนี้คือ พวกเขาจะหาวิธีทำให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจมีผลในทางปฏิบัติได้อย่างไร เมื่อตัวเลขในสภาไม่เอื้ออำนวย

ทางเลือกของฝ่ายค้าน

- สร้างแรงกดดันทางสังคม: ใช้ข้อมูลจากการอภิปรายกระตุ้นให้ประชาชนตื่นตัว

- ขยายแนวร่วม: ดึงพันธมิตรทั้งในและนอกสภาร่วมตรวจสอบรัฐบาล

- ใช้กลไกองค์กรอิสระ: ส่งเรื่องให้หน่วยงานตรวจสอบดำเนินการต่อ

- สื่อสารกับสาธารณะ: ใช้โซเชียลมีเดียเผยแพร่ข้อมูลให้กว้างขวาง

ซักฟอกแพ้ ไม่ใช่เพราะอ่อนแอ แต่เพราะกติกาเอื้อรัฐบาล

การที่แพทองธารรอดจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจจึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สะท้อน "กฎเกณฑ์ทางการเมือง" ที่ทำให้ฝ่ายค้านไทยเกือบทุกยุคต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกัน เมื่อรู้ว่าแพ้แน่ แต่ยังต้องซักฟอก ฝ่ายค้านควรให้ความหมายใหม่แก่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อที่แม้แพ้ในสภา แต่ชนะในใจประชาชน และสร้างการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในระยะยาว นั่นคือโจทย์ที่ฝ่ายค้านยุคปัจจุบันและอนาคตต้องคำนึงถึง

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : TNN / Freepik

avatar

ยศไกร รัตนบรรเทิง
เบน