เจาะลึกเป้าหมายนายกฯ ที่ดาวอส อะไรคือประโยชน์ที่คนไทยจะได้รับ?

เปิดเกมรุก "เศรษฐกิจไทย" บนเวทีดาวอส จะคว้าโอกาสอย่างไรในปี 2025?

ขณะที่หลายคนอาจมองว่าการประชุม World Economic Forum ที่เมืองดาวอสเป็นเพียงเวทีพบปะของผู้นำโลก แต่สำหรับประเทศไทย การเดินทางของ "นายกฯ แพทองธาร" ครั้งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจไทย

ลองมาดูกันว่าทำไม?

เริ่มจากโจทย์ใหญ่ที่ว่า ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ไทยจะรักษาความสามารถในการแข่งขันได้อย่างไร? นี่คือเหตุผลที่รัฐบาลวางยุทธศาสตร์ไว้ 3 ด้าน (ซึ่งสะท้อนผ่านตารางนัดของนายกฯ ที่ดาวอส):

ด้านแรก "ยกระดับโลจิสติกส์" - การพบกับ DP World ไม่ใช่แค่การคุยกับบริษัทขนส่งธรรมดา แต่เป็นการวางหมากให้ไทยเป็น "ฮับการขนส่ง" ของภูมิภาค คำถามคือ เราจะใช้จุดแข็งจากการที่ไทยตั้งอยู่ระหว่างสองมหาสมุทรให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร?

ด้านที่สอง "เสริมแกร่งอุตสาหกรรมอาหาร" - การนัดพบ Nestle และ Coca-Cola ไม่ใช่แค่เรื่องดึงดูดการลงทุน แต่เป็นการ "ต่อจิ๊กซอว์" เชื่อมเกษตรกรไทยเข้ากับห่วงโซ่อุปทานระดับโลก คิดดูว่า ถ้าชาวสวน ชาวไร่ของเราได้เป็นส่วนหนึ่งของการผลิตระดับโลก จะสร้างรายได้มั่นคงขนาดไหน?

ด้านที่สาม "ผลักดันอุตสาหกรรมการแพทย์" - การเจรจากับ Bayer และ Astrazeneca สะท้อนความฝันที่จะให้ไทยเป็น "Medical Hub" ของเอเชีย แต่คำถามคือ เราจะยกระดับบุคลากรทางการแพทย์และโครงสร้างพื้นฐานให้ทันกับความท้าทายนี้ได้หรือไม่?

"ไฮไลท์สำคัญ" ที่ไม่ควรมองข้ามคือการลงนาม FTA กับกลุ่ม EFTA (สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์) ซึ่งจะเป็น FTA ฉบับแรกของไทยกับกลุ่มประเทศยุโรป นี่ไม่ใช่แค่การเปิดประตูการค้า แต่เป็นการเปิดโอกาสให้ไทยเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมจากประเทศพัฒนาแล้ว

แต่คำถามที่ท้าทายที่สุดคือ: เราจะทำอย่างไรให้โอกาสเหล่านี้ไม่กระจุกตัวอยู่แค่กลุ่มทุนใหญ่? จะทำอย่างไรให้ผลประโยชน์จากการลงทุนเหล่านี้ "หยดลงถึง" เกษตรกร ผู้ประกอบการรายย่อย และแรงงานไทย?

รัฐบาลประกาศให้ปี 2025 เป็น "ปีแห่งโอกาส" แต่โอกาสจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อเรามีการเตรียมพร้อม ทั้งการพัฒนาคน ปรับปรุงกฎหมาย และสร้างโครงสร้างพื้นฐาน การประชุมที่ดาวอสจึงไม่ใช่แค่การพบปะพูดคุย แต่เป็นการเริ่มต้นเดินหมากบนกระดานเศรษฐกิจโลก

คำถามสุดท้ายถึงผู้อ่าน: ในฐานะคนไทย คุณพร้อมจะคว้าโอกาสที่กำลังจะมาถึงนี้อย่างไร?