'ซิงซิง' เอฟเฟ็กต์ วิกฤตการท่องเที่ยวไทย
สรุปข่าว
"เหยื่อสแกมเมอร์รายล่าสุด" - เมื่อดาราจีนกลายเป็นบททดสอบการท่องเที่ยวไทย
ข่าวการหายตัวของ "หวังซิง" หรือ "ซิงซิง" นักแสดงชาวจีนในต้นเดือนมกราคม 2568 ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับวงการท่องเที่ยวไทยอย่างหนัก แม้สุดท้ายเรื่องราวจะจบลงด้วยดี แต่ผลกระทบที่ตามมากลับยิ่งใหญ่เกินคาด จนอาจเรียกได้ว่าเป็น "บททดสอบครั้งสำคัญ" ของการท่องเที่ยวไทยในปี 2568
แต่ทำไมเรื่องของดาราคนหนึ่งถึงส่งผลกระทบรุนแรงขนาดนี้?
คำตอบอยู่ที่ "จังหวะเวลา" และ "ความละเอียดอ่อน" ของสถานการณ์ เพราะเกิดขึ้นในช่วงที่ไทยเพิ่งประกาศนโยบายฟรีวีซ่าให้นักท่องเที่ยวจีน และกำลังหวังพึ่งพาตลาดจีนเป็นหัวจักรสำคัญในการฟื้นฟูการท่องเที่ยว เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น จึงเป็นเหมือนน้ำเย็นที่สาดใส่ความหวังของผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทย
ที่น่าคิดคือ รูปแบบการหลอกลวงที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่กลับเป็นวิธีการเก่าที่ถูกนำมาใช้ซ้ำ - การแอบอ้างเป็นบริษัทบันเทิงชื่อดัง ติดต่อผ่านวีแชต และลวงเหยื่อข้ามแดนไปยังฐานสแกมเมอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน แล้วเหตุใดมาตรการป้องกันที่มีอยู่จึงไม่สามารถสกัดกั้นได้ทัน?
ผลกระทบที่ตามมาชัดเจน - ยอดจองห้องพักของนักท่องเที่ยวจีนหายไป 20-30% โดยเฉพาะกลุ่มทัวร์ คอนเสิร์ตของ Eason Chan-เฉิน อี้ซวิ่น ที่ขายบัตรหมดแล้วต้องถูกยกเลิกกะทันหัน แต่สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือผลกระทบต่อภาพลักษณ์ในระยะยาว เมื่อเรื่องนี้กลายเป็นหัวข้อร้อนในโลกโซเชียลจีน จนเกิดคำถามเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางมาเที่ยวเมืองไทย
นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยวว่า การยกเลิกการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนส่วนใหญ่มาจากกลุ่มที่ไม่เคยมาประเทศไทยและมาจากเมืองรอง ขณะที่นักท่องเที่ยวที่เคยมาแล้วทั้งแบบครอบครัว กลุ่มเพื่อน และเดินทางคนเดียว ยังคงเดินทางตามแผนเดิม
จากข้อมูลล่าสุดวันที่ 15-16 มกราคม ยังมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยวันละกว่า 20,000 คน สูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติที่ 16,000-17,000 คน โดยภาพรวมนักท่องเที่ยวจากทุกประเทศตั้งแต่ 1-16 มกราคม อยู่ที่ประมาณ 1.7 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเกือบ 20%
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ยืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยว แต่เป็นการหลอกลวงให้มาทำงานและใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน พร้อมเผยนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกองทัพบกเข้มงวดการดูแลพื้นที่ตามด่านธรรมชาติ โดยเฉพาะในจังหวัดตาก
แต่ท่ามกลางวิกฤต มีเสียงหนึ่งที่ลุกขึ้นมาเรียกความเชื่อมั่นคืน "น้องเต้าหู้" หรือ Aurora นักศึกษาแลกเปลี่ยนชาวจีนจากมหาวิทยาลัยรังสิต ได้ใช้ TikTok เป็นเวทีบอกเล่าประสบการณ์ 2 ปีในเมืองไทย ทั้งการเดินทางท่องเที่ยว 8 จังหวัด การใช้ชีวิตประจำวัน และความประทับใจในอาหารไทย เธอยังเน้นย้ำประเด็นสำคัญว่า "คนจีนกรุณาหยุดโกหกคนจีนได้แล้ว" และ "เมื่อไปเที่ยวเมืองไทย อย่าไว้ใจเพื่อนร่วมชาติจีนของเราอย่างง่ายดาย" นับเป็นมุมมองที่แตกต่างและน่าสนใจ
คำถามสำคัญที่ต้องคิดต่อคือ - เราจะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำได้อย่างไร? การเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจคนเข้าเมืองอาจเป็นคำตอบหนึ่ง แต่จะทำอย่างไรไม่ให้กระทบต่อนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว? การทบทวนนโยบายฟรีวีซ่าหรือการจัดโซนนิ่งพิเศษตามที่มีผู้เสนอจะเป็นทางออกที่เหมาะสมหรือไม่?
กรณี "ซิงซิง" ยังเปิดประเด็นให้เห็นความท้าทายในการรับมือกับอาชญากรรมข้ามชาติในยุคดิจิทัล ที่การหลอกลวงเกิดขึ้นได้ง่ายผ่านแอปพลิเคชันแชท และขยายผลกระทบในวงกว้างผ่านโซเชียลมีเดีย
ในท้ายที่สุด เราอาจต้องยอมรับว่า ในโลกที่เชื่อมต่อกันด้วยดิจิทัล เรื่องเล็กๆ สามารถลุกลามเป็นวิกฤตใหญ่ได้ในพริบตา การเตรียมพร้อมรับมือและมีระบบป้องกันที่รัดกุมจึงสำคัญไม่แพ้การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า คำถามคือ - เราพร้อมรับมือกับความท้าทายครั้งต่อไปแล้วหรือยัง? และจะทำอย่างไรให้เสียงของคนในพื้นที่อย่าง "น้องเต้าหู้" ได้รับการรับฟังมากกว่าข่าวลือในโลกโซเชียล?
ภาพ Freepik / TNN
ที่มาข้อมูล : หาเอง/ตัดต่อเอง
ที่มารูปภาพ : -