ดอกเบี้ยเงินกู้ 10 แบงก์ อัปเดตเดือนมกราคม 2568 เช็กเลย!
ดอกเบี้ยเงินกู้เดือนมกราคม 2568
ด้วยสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันหลายคนอาจจะยังต้องพึ่งพาการขอสินเชื่อหรือกู้เงินเพื่อมาบริหารสภาพคล่องในครอบครัว การทำธุรกิจ ซึ่งการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินที่อยู่ในระบบ จะช่วยเพิ่มความอุ่นใจในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่เป็นมาตรฐาน มั่นใจได้ว่าจะไม่มีดรามาเจ้าหนี้ตามทวงหนี้แน่นอน
โดยอัตรา ดอกเบี้ยเงินกู้ มักอยู่ในลักษณะร้อยละต่อปี ซึ่งผู้ให้กู้ เช่น ธนาคาร หรือบริษัทเรียกเก็บจากผู้กู้เพื่อเป็นผลตอบแทนจากการให้กู้ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้มีหลายประเภท หลายอัตรา โดยทั่วไปขึ้นอยู่กับประเภทของเงินกู้หรือสินเชื่อ ซึ่งในที่นี้ผู้ให้กู้หมายถึง สถาบันการเงิน และผู้ประกอบธุรกิจการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน หรือ Non-bank
สรุปข่าว
MLR MOR และ MRR คืออะไร
ถ้าคนที่ยังไม่เคยศึกษาเรื่องการขอสินเชื่อ อาจจะไม่คุ้นเคยกับดอกเบี้ยสองตัวนี้เท่าไหร่ โดยปกติแล้วอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์ใช้อ้างอิงในการเรียกเก็บ ดอกเบี้ยเงินกู้ จากลูกค้า ซึ่งจะมีลักษณะเป็นดอกเบี้ยลอยตัว เช่น
1. MLR (Minimum Loan Rate)
หมายถึง อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี เช่น มีประวัติการเงินที่ดี มีหลักทรัพย์ค้ำประกันอย่างเพียงพอ โดยส่วนใหญ่ใช้กับเงินกู้ระยะยาวที่มีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน เช่น สินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจ
2. MOR (Minimum Overdraft Rate)
หมายถึง อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทวงเงินเบิกเกินบัญชี
3. MRR (Minimum Retail Rate)
หมายถึง อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อที่อยู่อาศัย
ภาพประกอบจาก : AFP
ดอกเบี้ยเงินกู้ ที่พบบ่อย ๆ จะมี 2 ประเภทคือ ดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่และแบบลอยตัว ซึ่งจะมีความแตกต่างกัน ได้แก่
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่ (Fixed Rate)
คือ อัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้เป็นตัวเลขเฉพาะ ไม่ขึ้นหรือลงตามต้นทุนของสถาบันการเงิน คงที่ตลอดอายุสัญญาเงินกู้หรือในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น กำหนดให้ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7 ต่อปี เป็นเวลา 4 ปี
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัว (Floating Rate)
คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เปลี่ยนแปลงไปตามต้นทุนของสถาบันการเงิน ซึ่งสถาบันการเงินจะประกาศออกมาเป็นคราวๆ ไป เช่น อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของธนาคารพาณิชย์ต่างๆ เช่น MLR MOR MRR
เทียบอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของ 10 ธนาคาร ประจำเดือน มกราคม 2568
สถาบันการเงิน | ดอกเบี้ย MOR | ดอกเบี้ย MLR | ดอกเบี้ย MRR |
กรุงเทพ | 7.3500 | 6.9000 | 7.0000 |
กรุงไทย | 7.2700 | 6.9250 | 7.4450 |
กสิกรไทย | 7.3400 | 7.1500 | 7.1800 |
ไทยพาณิชย์ | 7.3250 | 6.9250 | 7.1750 |
กรุงศรีอยุธยา | 7.3250 | 7.1550 | 7.2750 |
ทหารไทยธนชาต | 7.6000 | 7.6000 | 7.7050 |
ยูโอบี | 8.1000 | 8.1250 | 8.6750 |
ซีไอเอ็มบี ไทย | 8.5000 | 8.2250 | 9.1250 |
แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ | 8.2000 | 7.8250 | 8.6800 |
ทิสโก้ | 7.9500 | 7.9500 | 8.0000 |
อ้างอิงข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย อัปเดต ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2567
หมายเหตุ เป็นข้อมูลล่าสุดที่ ธปท.ได้รับจากธนาคารพาณิชย์ ณ เวลาประมาณ 16.00 น.
ทำไมอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง เช่น MLR ของแต่ละธนาคารไม่เท่ากัน
การที่แต่ละธนาคารมีอัตราดอกเบี้ยไม่เท่ากัน ก็เพราะต้นทุนของธนาคารแต่ละแห่งไม่เท่ากัน ซึ่งเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัยต่างๆ เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก สภาพคล่อง อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่ธนาคารต้องดำรง ซึ่งอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงจะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงในแต่ละช่วงเวลา นอกจากนี้ ในทางปฏิบัติธนาคารก็มักจะใช้ MLR กับทั้งลูกค้ารายใหญ่และรายย่อย
อ้างอิงข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย , ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย
ภาพจาก : AFP
ทำไมอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงมีบวกหรือลบต่อท้ายด้วย เช่น MLR + X% และทำไม X% ของลูกค้าแต่ละรายจึงไม่เท่ากัน
กรณีนี้เกิดขึ้นหากผู้กู้มีความเสี่ยงสูง เช่น ฐานะทางการเงินไม่ค่อยมั่นคง ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น (X%) จากอัตราอ้างอิง เพื่อชดเชยความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละรายที่อาจแตกต่างกันไป หรือหากผู้กู้มีความเสี่ยงต่ำ ธนาคารอาจคิดดอกเบี้ยที่ถูกกว่าอัตราอ้างอิงก็ได้ เช่น MLR + X% ซึ่ง X% ของลูกค้าแต่ละรายจึงไม่จำเป็นต้องเท่ากัน และยังขึ้นกับดุลพินิจ หลักเกณฑ์ และวิธีการพิจารณาสินเชื่อที่แตกต่างกันไปของธนาคารแต่ละแห่ง ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องศึกษาข้อมูล และสอบถามธนาคารที่เราสนใจหลาย ๆ แห่ง เพื่อนำมาพิจารณาเปรียบเทียบกันดู ว่าธนาคารแห่งไหนมีเงื่อนไขที่ดีและเหมาะสมตอบโจทย์กับเรามากที่สุด
การพิจารณาเลือกขอสินเชื่อ นอกจากอัตรา ดอกเบี้ยเงินกู้ ควรตัดสินใจจากปัจจัยอื่นๆประกอบด้วย โดยควรศึกษาข้อมูลให้มากๆหลายๆแบงก์เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นข้อแตกต่าง ที่สำคัญเน้นเรื่องของจุดประสงค์ในการกู้ของตนเองว่ากู้เพื่ออะไร ระยะเวลาในการผ่อนชำระและดอกเบี้ย อัตราค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เราต้องจ่าย รวมถึงความสามารถในการชำระเงินกู้ และความคุ้มค่าที่จะได้รับกลับมาเมื่อเราต้องเป็นหนี้ ที่สำคัญต้องมีวินัยในการชำระเพื่อไม่ให้กลายเป็นหนี้เสียในอนาคต
ที่มาข้อมูล : หาเอง/ตัดต่อเอง
ที่มารูปภาพ : -