
"แชมป์เลกแรก" มันเป็น 3 พยางค์ที่เล่นเอาเสียวไปทั้งสโมสรทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด เพราะเป็นประโยคที่แฟนฟุตบอลไทยนิยามให้กับสโมสรแห่งนี้มาโดยตลอดในช่วงหลายฤดูกาลหลัง
ย้อนกลับไป 2 ฤดูกาลก่อน ทรู แบงค็อกฯ ทำได้ดีที่สุดคือจบรองแชมป์ไทยลีก ฤดูกาล 2022/23 ตามหลังทีมแชมป์อย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 12 คะแนน ส่วนฤดูกาลที่แล้ว 2023/24 ทรู แบงค็อกฯ จบในฐานะพระรอง ด้วยช่องว่างจาก บุรีรัมย์ฯ 8 คะแนน
ยิ่งถ้าดูรายละเอียดผลงานให้ลึกไปกว่านั้น ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทัพของ "โค้ชแบน" ธชตวัน ศรีปาน ออกสตาร์ทได้อย่างร้อนแรง โกยแต้มอย่างต่อเนื่อง กระโดดขึ้นไปนั่งแท่นจ่าฝูงแต่เพียงผู้เดียว
ถ้าเปรียบผลงานของ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด มันก็เหมือนรถยนต์เครื่องเบนซิน ที่ออกตัวแรงตั้งแต่โค้งแรก แต่สุดท้ายระยะยาวกลับโดนเครื่องดีเซล ที่แรงปลายแซงเข้าเส้นชัยไปในที่สุด
กับประโยคที่ว่า "แชมป์เลกแรก" ที่ดูเหมือนพูดแซวกันขำ ๆ ในแวดวงแฟนบอลไทย แต่มันคือตลกร้ายของสโมสรทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด เพราะยิ่งฤดูกาลผ่านไป ผลงานของพวกเขายิ่งตอกย้ำกับสิ่งที่แฟนบอลพูดกันว่าคือเรื่องจริง

สรุปข่าว
ครั้งหนึ่งเมื่อปลายฤดูกาลที่แล้ว "โค้ชแบน" ธชตวัน ศรีปาน เคยออกมายอมรับสภาพว่าลูกทีมขาดคาแรคเตอร์ของการเป็นแชมป์ หลังเกมนัดตกค้างที่ทำได้แค่เปิดบ้านเสมอกับ ลำพูน วอริเออร์ 2-2 เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2567
"โค้ชแบน" บอกว่าทีมของเขาอาจไม่เคยผ่านประสบการณ์การเป็นแชมป์ไทยลีกมาก่อน ขาดคาแรคเตอร์ ขาดแรงจูงใจที่จะเป็นผู้ชนะ หรือพูดง่าย ๆ คือไม่มีความเขี้ยวมากพอที่จะเก็บแต้มในเกมสำคัญ
การเสมอ ลำพูน วอริเออร์ ในครานั้น ส่งผลให้ ทรู แบงค็อกฯ พลาดโอกาสที่จะโยนความกดดันให้กับคู่แข่งลุ้นแชมป์อย่างบุรีรัมย์ฯ เพราะจากที่ควรจะลดช่องว่างเหลือ 1 คะแนน กลายเป็นว่าช่องว่างเพิ่มเป็น 3 คะแนน กับโปรแกรมที่เหลืออีก 6 นัด สุดท้าย บุรีรัมย์ฯ ก็เข้าป้ายคว้าแชมป์ไปในที่สุด
นับเป็นบทเรียนสำคัญของ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ก่อนที่พวกเขาจะลืมความผิดหวังแล้วเริ่มต้นเตรียมพร้อมสำหรับซีซั่นใหม่ โดยเดินหน้าเปลี่ยนแปลงนักเตะต่างชาติแบบจัดหนัก กับการคว้า ริไชโร ซิฟโควิช ดาวยิงทีมชาติโอมาน รวมถึง ริไชโร ซิฟโควิช และ ลูก้า อาดิช เข้ามาเสริมแกร่ง
ฤดูกาลใหม่เริ่มต้นขึ้น ทรู แบงค็อกฯ ที่ดูเหมือนจะหาจุดลงตัวได้ไว เดินหน้าโกยคะแนนอย่างต่อเนื่อง มีอยู่ช่วงหนึ่งที่พวกเขาทำผลงานชนะรวดมาร่วม ๆ 10 กว่านัด และไร้พ่ายมาอย่างยาวนานในทุกรายการที่ลงสนาม
แต่แล้วพอถึงช่วงเวลาสำคัญก่อนเข้าสู่ปีใหม่ ทรู แบงค็อกฯ กลับมีผลงานที่ตกลงไป ในขณะที่ทางฝั่ง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กลับเดินหน้าติดเครื่องโกยแต้มอย่างต่อเนื่อง ทำแต้มหนีห่าง ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ออกไปเรื่อย ๆ
เกมสำคัญของทั้งสองทีมคือนัดที่เจอกันเองในช่วงเลก 2 ปรากฎว่า ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด สามารถเก็บชัยชนะเหนือ บุรีรัมย์ฯ ไปได้ด้วยสกอร์ 3-2 ลดช่องว่างเหลือเพียงแค่ 6 คะแนน
อย่างไรก็ตามอีก 2 เกมต่อมา ทรู แบงค็อกฯ สะดุดกับการเล่นในบ้านตัวเอง ในเกมที่บังคับชนะ แต่ดันเสมอ นครปฐม ยูไนเต็ด 1-1 ขณะที่จ่าฝูง หลังพลาดท่าในเกมนั้น พวกเขาก็กลับมาได้เร็ว และเดินหน้ายิงกระจาย โกยแต้มอย่างต่อเนื่อง
นี่คือหนึ่งในคุณสมบัติของทีมที่จะเป็นแชมป์ คือเมื่อพลาดท่าแพ้แล้ว ต้องลืมความผิดหวังแล้วเดินหน้ากลับมาให้เร็วในเกมต่อไปทันที
การเสมอ นครปฐม ยูไนเต็ด ในบ้านตัวเอง ถือว่าเสียหายมาก นอกจาก 2 คะแนนที่เสียไป มันรวมถึงสภาพจิตใจของทีม ถัดมาอีก 3 เกม กับโปรแกรมไทยลีก ทรู แบงค็อกฯ พลาด 3 แต้มอีกครั้ง กับการเปิดบ้านเสมอ ระยอง เอฟซี ทีมท้ายตารางด้วยสกอร์ 2-2 ยิ่งทำให้ช่องว่างห่างไกลจากจ่าฝูงมากขึ้นไปอีก
แม้ว่าทางฝั่ง บุรีรัมย์ฯ จะพลาดให้บ้าง แต่กลายเป็นว่า ทรู แบงค็อกฯ กลับไม่สามารถฉวยโอกาสของตัวเองเอาไว้ได้ เมื่อการแข่งขันดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ทรู แบงค็อกฯ ทำได้ดีที่สุดคือพยายามจะเป็นผู้ตามที่ดี
ณ เวลานี้ นับถอยหลังเข้าสู่ 5 นัดสุดท้าย ช่องว่างจากจ่าฝูงหยุดอยู่ที่ 7 แต้ม ยังมีอีก 15 คะแนนเต็มให้ได้ไล่ล่า ซึ่งทางฝั่ง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ขออีกเพียงแค่ 8 แต้ม ก็จะการันตีตำแหน่งแชมป์ทันที
โปรแกรมไทยลีก 5 นัดสุดท้าย บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
วันที่ 30 มี.ค. พบ ขอนแก่น ยูไนเต็ด (เหย้า)
วันที่ 2 เม.ย. พบ ราชบุรี เอฟซี (เยือน)
วันที่ 5 เม.ย. พบ เมืองทอง ยูไนเต็ด (เหย้า)
วันที่ 19 เม.ย. พบ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด (เหย้า)
วันที่ 27 เม.ย. พบ พีที ประจวบ เอฟซี (เยือน)
โปรแกรมไทยลีก 5 นัดสุดท้าย ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด
วันที่ 26 มี.ค. พบ ลำพูน วอริเออร์ (เยือน)
วันที่ 29 มี.ค. พบ ระยอง เอฟซี (เหย้า)
วันที่ 6 เม.ย. พบ สุโขทัย เอฟซี (เยือน)
วันที่ 12 เม.ย. พบ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด (เหย้า)
วันที่ 19 เม.ย. พบ ราชบุรี เอฟซี (เยือน)
วันที่ 27 เม.ย. พบ หนองบัว พิชญ เอฟซี (เหย้า)
จากโปรแกรมที่เหลือของทั้งสองทีม เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ต้องยอมรับว่า ทรู แบงค็อกฯ เจองานที่หนักกว่า และต้องยอมรับความจริงว่าโอกาสปาดหน้าแซงคว้าแชมป์เป็นไปได้ยากมาก ๆ ในทางปฏิบัติ ไม่ใช่เพราะ ทรู แบงค็อกณ ดีไม่พอ แต่เป็นเพราะมาตรฐานที่สูงลิบลิ่วของทางฝั่ง บุรีรัมย์ฯ
แต่ถึงกระนั้น ในโลกของฟุตบอลลูกกลม ๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้ จากความผิดหวังระหว่างฤดูกาลที่ผ่านมา เชื่อว่า ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ต้องเดินเครื่องในแบบที่ไม่มีอะไรจะเสีย เล่นทุกเกมเหมือนเป็นนัดชิงชนะเลิศ เพราะพวกเขาจะพลาดท่าไม่ได้อีกแล้ว เล่นแบบไม่ต้องไม่สนใจจ่าฝูง ขอแค่โฟกัสที่เกมของตัวเองก็พอ
ขณะที่ บุรีรัมย์ฯ พวกเขาจะมีโปรแกรมหนักในหลายรายการ ทั้งศึก เอฟเอซี แชมเปี้ยนส์ลีก อีลิท รอบ 8 ทีมสุดท้าย ศึกช้าง เอฟเอ คัพ รอบ 16 ทีมสุดท้าย, รีโว่ คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย และศึกชิงแชมป์สโมสรอาเซียน รอบรองชนะเลิศ เจอกับ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด
โปรแกรมแข่งขันแบบถี่ยิบของ บุรีรัมย์ฯ คือข้อได้เปรียบเดียวที่พอจะมองได้ของ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด แต่ก่อนที่จะอาศัยความได้เปรียบนั้น สิ่งแรกคือต้องก้มหน้าก้มตาทำผลงานของตัวเองออกมาให้ดีที่สุด หรือพูดง่าย ๆ คือต้องพยายามโกยให้ได้ทั้ง 15 คะแนนที่เหลืออยู่ จากนั้นก็ค่อยไปยืมจมูกคนอื่นหายใจ และลุ้นว่าบุรีรัมย์ฯ พอจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นบ้างมากน้อยขนาดไหน
แต่ในความเป็นจริง ต้องยอมรับว่าด้วยประสบการณ์ ขุมกำลังที่แข็งแกร่งของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่พูดได้อย่างเต็มปากว่าพวกเขายกระดับทีมไปสู่ระดับเอเชียเรียบร้อยแล้ว
แม้ว่าจะมีโปรแกรมหนักรออยู่ในอีกหลายรายการ แต่ขึ้นชื่อว่า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ดูแล้วโอกาสผิดพลาดเกิดขึ้นได้ยากมาก ๆ หรือบางทีถ้าบุรีรัมย์ฯพลาด ก็ไม่มีอะไรมาการันตีได้ว่า ทรู แบงค็อกฯ จะเก็บชัยชนะได้ทั้ง 5 นัด
สุดท้ายไม่ว่าบทสรุปในฤดูกาลนี้จะเป็นอย่างไร น่าจะเป็นอีก 1 ฤดูกาล ที่นอกจาก ทรู แบงค็อกฯ จะต้องเก็บไว้เป็นอีกหนึ่งบทเรียนแล้ว พวกเขาต้องเก็บเป็นแรงขับเคลื่อนที่จะไล่ล่าความสำเร็จ กับการคว้าแชมป์ไทยลีก มาครองให้ได้ ในฤดูกาลหน้า
ในมุมของแฟนบอล ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด เชื่อว่าพวกเขารอได้ เพราะแค่เห็นในความพยายามที่จะยกระดับทีมสู่ความเป็นเลิศ เห็นในแนวทางการสร้างสโมสรขึ้นมาต่อกรกับทีมอย่างบุรีรัมย์ฯ ได้ในระดับนี้ เห็นในการรักษามาตรฐานกับการจบอันดับ 2 ของตารางมาอย่างต่อเนื่อง แถมระหว่างทางก็มีแชมป์บอลถ้วยให้ได้ชื่นใจบ้าง
ขาดก็เพียงแค่การก้าวไปถึงตำแหน่งแชมป์ลีกสูงสุดของไทย แม้ว่าวันนี้อาจจะยังไม่ใช่วันที่ประสบความสำเร็จในจุดนั้น แต่เชื่อว่าถ้ายังคงมีความพยายามแบบนี้ต่อไป บวกกับประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้นของทีม สักวันคงจะมีวันที่ได้เห็น ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ชูถ้วยแชมป์ไทยลีก
ที่มาข้อมูล : TNN
ที่มารูปภาพ : FA THAILAND

ณัฐชนน โชติช่วง