
นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะผู้อำนวยการกลาง/เลขานุการ กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ในวันนี้ ภาพรวมของประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
ส่วนบางพื้นที่ของภาคเหนือและพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือค่าฝุ่นอยู่ในเกณฑ์ สีส้มที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพขอปงประชาชน จะมีพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีที่มีค่าฝุ่นละอองอยู่ในเกณฑ์สีแดงมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน จำเป็นต้องเฝ้าระวังสถานการณ์คุณภาพอากาศอย่างใกล้ชิด ไปจนถึงช่วงวันที่ 6 - 7 มี.ค. 67 และหลังจากช่วงดังกล่าวคาดว่าจะมีฝนตก ส่งผลให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือคุณภาพอากาศมีแนวโน้มที่ดีขึ้น
จุดความร้อน (Hotspot)
ข้อมูลวันที่ 2 มี.ค. 68 มีจำนวน 760 จุด โดยพบในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ป่าอนุรักษ์ และพื้นที่การเกษตรเป็นส่วนใหญ่ ซึ่ง 5 จังหวัดที่พบจุดความร้อนสูงสุด ได้แก่ ตาก จำนวน 154 จุด ลำปาง 119 จุด ชัยภูมิ 50 จุด กาฬสินธุ์ 34 จุด และสระแก้ว 34 จุด
นอกจากนี้ ยังพบจุดความร้อนในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศเมียนมาและประเทศลาวบริเวณชายแดนระหว่างประเทศไทย ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ค่าฝุ่นละอองในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ในระยะนี้ขอให้จังหวัดเฝ้าระวังสถานการณ์คุณภาพอากาศอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะจังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร มุกดาหาร นครพนม และอำนาจเจริญ ที่พบว่ามีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) สูง อยู่ในเกณฑ์สีแดงและสีส้ม และขอฝากจังหวัดที่มีจุดความร้อนในพื้นที่สูง
โดยเฉพาะจังหวัดตาก ลำปาง ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ และสระแก้ว ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการลดจุดความร้อนจากแหล่งกำเนิดอย่างต่อเนื่องในระยะนี้

สรุปข่าว
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามมาตรการของรัฐบาลอย่างเข้มข้น เพื่อลดฝุ่นละอองในอากาศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการป้องกันปราบปรามและบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมการเผาอย่างเด็ดขาด ซึ่งกรมป่าไม้ได้ติดตามสถานการณ์จุดความร้อนในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ พบว่า วันนี้มีจุดความร้อนเพิ่มขึ้นในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ รวม 58 จุด แยกเป็น พื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ จำนวน 49 จุด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 4 จุด ภาคกลาง จำนวน 5 จุด
โดยได้มีการออกปฏิบัติการควบคุมไฟป่าสะสม รวม 3,247 ครั้ง แยกเป็น ภาคเหนือ จำนวน 2,007 ครั้ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 628 ครั้ง และภาคกลาง จำนวน 612 ครั้ง ดำเนินคดีกับผู้ที่เผาป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติแล้ว 28 คดี ด้านกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รายงานว่า ในวันนี้พบจุดความร้อนในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ รวม 46 จุด โดยจุดความร้อนอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ 41 จุด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 จุด ภาคกลางและภาคตะวันออก 1 จุด ปัจจุบันได้ประกาศปิดพื้นที่ป่าอนุรักษ์แล้วทั้งสิ้น 138 แห่ง
เผาจริง จับจริง
การยกระดับการจับกุมดำเนินคดีกับผู้ลักลอบจุดไฟเผาป่า “เผาจริง จับจริง” รวม 34 คดี จับผู้ต้องหา 8 ราย สำหรับการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า เมื่อวานนี้ (2 มี.ค. 68) มีการปฏิบัติในพื้นที่ป่า รวม 348 ครั้ง อาทิ การดับไฟป่า การลาดตระเวนป้องกันการเผา การจัดทำ แนวกันไฟ การตั้งจุดตรวจสกัด
นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้รายงานสถานการณ์การหีบอ้อยเพื่อผลิตน้ำตาลทรายในฤดูการผลิตปีนี้ ลดลงเมื่อเทียบกับฤดูการผลิตในปี 2561/2562 โดยมีการรับอ้อยเผาเข้าหีบสะสม ร้อยละ 14.41 ส่งผลให้ลดพื้นที่เผาป่าลงได้กว่า 4.51 ล้านไร่
สำหรับการดำเนินงานในระดับพื้นที่ ได้ปฏิบัติให้สอดรับกับมาตรการของรัฐบาล โดยเฉพาะมาตรการป้องกันปราบปรามและบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมการเผาอย่างเด็ดขาด ซึ่งจังหวัดมหาสารคาม ได้ตรวจพบจุดความร้อนสะสม ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 2 มี.ค. 68 จำนวน 259 จุด และส่วนใหญ่เกิดจุดความร้อนในพื้นที่เกษตร คิดเป็นร้อยละ 69 โดยจังหวัดได้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2568 ซึ่งได้มีการจัดการในพื้นที่ป่า
โดยบูรณาการส่วนราชการทำการลาดตระเวนป่า จัดทำแนวกันไฟป่า ส่วนการจัดการในพื้นที่เกษตร ได้มีการสร้างการรับรู้และปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนเกิดความตระหนักในการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง PM 2.5 อย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการรณรงค์ประชาสัมพันธ์แบบเคาะประตุบ้าน “หยุดเผา หยุดฝุ่น เพื่อคุณ เพื่อเรา” พร้อมกับการ Kick Off กิจกรรมเกษตรปลอดการเผาชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดี ลดฝุ่น PM 2.5 ส่งเสริมการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ จังหวัดมหาสารคามได้มีการประกาศการห้ามเผาในที่โล่งทุกชนิด โดยตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 1 มี.ค. 68 ได้มีการดำเนินคดี จำนวน 27 คดี ผู้ต้องหา จำนวน 37 คน และมีการนำส่งฟ้องศาลและพิพากษาแล้ว จำนวน 1 คดี

Tanvarut Naumpakdee
(Tanvarut Naumpakdee)