นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานแถลงผลปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด ในห้วงตั้งแต่วันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมาจนถึง 4 กุมภาพันธ์ สามารถยึดยาบ้ากว่า 37 ล้านเม็ด และไอซ์อีก 434 กิโลกรัม โดยแต่ละคดีสามารถยึดยาบ้าได้ไม่ต่ำกว่าหลักแสน ถึง หลักล้านเม็ด เช่น เครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ ใน อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ที่ลักลอบขนยาบ้าซุกซ่อนมากับพืชผลทางการเกษตร แต่มาถูกสกัดจับได้ที่ด่านตรวจ ยึดยาบ้าได้ 15.6 ล้านเม็ด และอีกเครือข่ายที่น่าสนใจ ก็มาจากชายแดนภาคเหนือเช่นกัน เป็นกลุ่มชนเผ่าที่รับจ้างขนยาบ้ามาจากจังหวัดตาก ใช้วิธีการเดียวกัน คือ ซุกซ่อนมากับพืชผลทางการเกษตร เครือข่ายนี้ ขนยาบ้ามา 12 ล้านเม็ด และจากการขยายผลสามารถยึดทรัพย์ได้เบื้องต้น 1.3 ล้านบาท
สรุปข่าว
นายภูมิธรรม เปิดเผยว่า หลังรัฐบาลประกาศนโยบาย Seal Stop Safe เพิ่มความเข้มข้นในการปราบปรามยาเสพติด นำร่อง 14 จังหวัด 51 อำเภอตามแนวชายแดน ได้เห็นถึงความเข้มข้นในการปราบปรามมากขึ้น และพบว่า การสกัดกั้นตามแนวชายแดนที่มีระยะทางกว่า 2,400 กิโลเมตร ยังไม่สามารถสกัดกั้นได้หมด จึงต้องเพิ่มความเข้มข้นสกัดกั้น 2 ชั้น ซีลชายแดน พร้อมขยายผลไปให้ถึงจุดพักยาจุดใหญ่ๆ ขยายผลไปสู่การยึดทรัพย์ ซึ่งถือเป็นมาตรการใช้ยาแรงที่จะสามารถทำให้การระบาดของยาเสพติดลดน้อยลงได้ ที่สำคัญการจะปราบปรามยาเสพติดให้เห็นผล ความเคลื่อนไหวด้านการข่าวคือสิ่งสำคัญ ซึ่งนอกจากการข่าวของ ตำรวจ รัฐบาลก็มีการสร้างสมาคมเครือข่ายข่าวของรัฐบาลอีกช่องทาง โดยปฏิบัติการ Seal Stop Safe ปราบเครือข่ายค้ายาเสพติด จะติดตามผลอีก 6 เดือนและขยายการดำเนินการต่อไป พร้อมย้ำว่าที่รัฐบาลต้องพุ่งเป้าไปที่แนวชายแดน ก็เพราะเป็นพื้นที่ต้นทางของขบวนการก่ออาชญากรรม ทั้งยาเสพติด การค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยวันนี้รัฐบาลใช้เรื่องของยาเสพติดเป็นตัวนำในการปราบปราม
นายภูมิธรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของการสกัดกั้นยาเสพติดที่ลำเลียงผ่านเข้ามาทางแม่น้ำโขง ภาคอีสาน การแก้ปัญหาแตกต่างกันขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ ทั้งนี้รัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุนเครื่องมือ เทคโนโลยีในการปราบปรามผู้ค้ายาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงหากสืบสวนไปถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หรือ เอกชน ที่คอยให้การสนับสนุนกลุ่มผู้ค้ายาเสพติด จะจับกุมทั้งหมด เพราะถือเป็นภัยร้ายแรงทางความมั่นคงของประเทศ