

สรุปข่าว
มีข้อมูลเตือนภัยสำหรับผู้ที่นิยมใช้สารเติมเต็ม หรือ ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยแก้ไขปัญหาริ้วรอยร่องลึกบริเวณใบหน้า ซึ่งที่ผ่านมามักมีข่าวบางคนฉีดแล้วมีปัญหาภาวะแทรกซ้อน โดย นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ อธิบายถึงสิ่งที่ผู้จะใช้สารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์ควรทราบทั้งก่อนฉีด และหลังฉีด
โดยก่อนรับการฉีด ควรต้องมีการตรวจสอบร่างกาย เพื่อเลือกวิธีการที่ถูกต้องและเหมาะสม หากมีโรคประจำตัว มีการใช้ยาหรือวิตามินที่ต้องรับประทานประจำควรแจ้งแพทย์ก่อนฉีดทุกครั้ง , ตรวจสอบยี่ห้อและชนิดของฟิลเลอร์ที่มีมาตรฐาน โดยตรวจสอบจากบรรจุภัณฑ์ของสินค้าได้ผ่านสำนักคณะกรรมการอาหารและยา , เลือกสถานพยาบาลหรือคลินิกที่ได้มาตรฐาน ภายใต้การให้บริการของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ ไม่ใช้บริการจากคลินิกเถื่อน หรือหมอกระเป๋า
สำหรับสารเติมเต็มหรือ ฟิลเลอร์สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก คือ
1. ประเภทชั่วคราว จะเป็นสารเติมเต็มกลุ่มของไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือ (HA) ซึ่งอยู่ได้ระยะเวลาประมาณหนึ่งถึงสองปี
2. ประเภทกึ่งถาวร อยู่ได้ระยะเวลายาวนานเป็นสิบปี ซึ่งวิธีนี้แพทย์ไม่แนะนำเนื่องจากอันตราย และไม่สามารถสลายเองได้ตามธรรมชาติ
การฉีดฟิลเลอร์ในแต่ละครั้ง ควรใช้ปริมาณที่เหมาะสม ไม่ใช้ปริมาณมากเกินไป และสามารถทยอยเติมทีละน้อย ๆ ได้ ควรรอให้สารเติมเต็มเข้าที่ประมาณ 2-4 สัปดาห์ โดยมีข้อแนะนำหลังฉีดฟิลเลอร์ ดังนี้
- ทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ เลี่ยงแสงแดดเเละความร้อน
- งดการทำหัตถการบริเวณใบหน้า เช่น นวดหน้าหรือการใช้เครื่องมือในการนวดบำรุงอื่นๆ หรือรับการรักษาด้วยลำแสง Light Emitting Diode (LED) หรือ Intense Pulse Light (IPL) หรือ Laser อย่างน้อย 4 สัปดาห์
- ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร
- สังเกตความผิดปกติบริเวณใบหน้า โดยเฉพาะตำแหน่งที่ฉีดฟิลเลอร์
ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์อาจมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ช่วงประมาณ 2 สัปดาห์หลังฉีด โดยลักษณะอาการหรือความผิดปกติได้แก่
- มีอาการบวมแดง หรือคลำได้ก้อนตำแหน่งที่ทำการฉีด ร่วมกับอาการอักเสบเป็นๆหายๆ
- การเคลื่อนตำแหน่งของฟิลเลอร์ ซึ่งอาจเกิดจากการฉีดไม่ถูกตำแหน่ง หรือใช้ผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาตรฐาน
- เกิดการติดเชื้อ มีการอักเสบเรื้อรัง ทำให้ ผิวหนังบริเวณนั้นมีการบวมหนาผิดรูปไป
- หากตำแหน่งที่ฉีดฟิลเลอร์มีอาการชา รู้สึกเจ็บหรือปวดเกินไปจนสีของผิวหนังเปลี่ยน แนะนำควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที
ข้อมูล : สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
ภาพ : ทีมกราฟิก TNN
ที่มาข้อมูล : -