สรุปข่าว
นอกจาก "แมวไทย" หรือ Siamese cat แล้ว ความเป็นสยามสู่สากลอีกประการหนึ่ง หนีไม่พ้น "แฝดสยาม" หรือ นั่นเอง และนี่คือเรื่องราวของแฝดสยามที่โด่งดังที่สุดในโลก ที่ทำให้เกิดคำศัพท์สำหรับบุคคลที่มีร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งติดกันว่า....Siamese twins "อิน-จัน" เซเลบริตี้แฝดคู่แรกของโลก ผู้มีชีวิตอันโลดโผนไม่ต่างจากนวนิยาย
ณ บ้านปากคลองแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม 11 พฤษภาคม พ.ศ.2354 หรือวันนี้เมื่อ 209 ปีที่แล้ว บนแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 กรุงรัตนโกสินทร์ มีเสียงเล็กๆ ของทารกคู่หนึ่งร้องอุแว้ประสานกัน เพื่อสูดอากาศเข้าปอดเป็นครั้งแรกในชีวิต หลังออกจากท้องแม่
เด็กทารกแฝดที่ไม่ธรรมดาของพ่อชาวจีนอพยพที่ชื่อ "ที" และแม่ผู้เข้มแข็งเลือดไทยอย่าง "นาก" (หรือนก NOK ตามบันทึกฝรั่ง) เจ้าตัวจ้อยทั้งคู่ทำให้หมอตำแยถึงกับผงะ เพราะไม่เคยพบเคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนในชีวิตของการทำคลอดของนาง
เด็กคู่นี้ตัวติดกัน!?
เด็กทารกแฝดเพศชาย มีเนื้อช่วงหน้าอกติดกัน อยู่ในลักษณะเกือบกลับหัวกลับหาง สร้างความตกใจแกมประหลาดใจให้ชาวปากคลองตลาดในเบื้องแรก หากความเข้มแข็งของผู้เป็นแม่ นางนากเลี้ยงลูกชายแฝดผู้มีลักษณะพิเศษหนึ่งเดียวในแผ่นดินสยาม ณ ขณะนั้น อย่างเด็กชายสามัญทั่วไป นางตั้งชื่อให้พวกเขาว่า "อิน" และ "จัน" ตามคอนเซ็ปต์ลูกอินและลูกจัน ที่มาจากต้นแม่เดียวกัน แต่ลักษณะผลไม่เหมือนกัน
เพราะเล็งเห็นว่า อุปสรรคแรกของลูกแฝด คือท่าทางที่ถูกเนื้อหน้าอกยึดกันไว้ที่ หากนางไม่แก้ไข อนาคตเด็กคู่นี้จะมีปัญหาด้านการทรงตัว ยืน และเดิน นางพยายามหมุนตัวของเด็กแฝดให้กลับมาอยู่ด้านเดียวกัน
จนในที่สุด เมื่อถึงวัยเดิน-วิ่งได้ คนปากคลองแม่กลองก็จะเห็นเด็กแฝดลูกครึ่งจีนคู่นี้ วิ่งวุ่นทำงานช่วยแม่ไม่หยุดไม่หย่อน ทั้งจับปลา เลี้ยงเป็ดทำไข่เค็มขาย และขายน้ำมันมะพร้าวอย่างคล่องแคล่วว่องไว ที่พวกเขาต้องทำงานหนักตั้งแต่เล็กๆ เพราะพ่อจากไปตั้งแต่พวกเขา 2 ขวบ จากอหิวาตกโรค
ชะรอยว่าชะตาของอินและจัน จะต้องโลดแล่นกว่าใครในสยามสมัยนั้น ในปี พ.ศ. 2367 ฟ้าจึงส่งนายโรเบิร์ต ฮันเตอร์ พ่อค้าชาวอังกฤษ ให้บังเอิญแล่นเรือผ่านปากน้ำแม่กลอง และเห็นสองหนุ่มแฝดที่มีสรีระที่เขาไม่เคยพบเคยเห็น ลูกคิดรางแก้วดีดรัวในหัวสมองพ่อค้า ถ้าเขาสามารถนำสองหนุ่มนี้กลับไป แล้วจัดการแสดง แปลว่าความเป็นเศรษฐีจะตกใส่ตักของเขาทันที ฮันเตอร์เข้าไปทำความรู้จักและใช้เวลาอยู่นานพอสมควร ทำความสนิทสนมกับครอบครัวหนุ่มแฝด จนกระทั่งนางนากไว้ใจ
อิน-จัน ใช้วัย 18 ปีของเขา ในเรือเดินทะเลยาวนาน 138 วัน เพื่อมาถึงโลกใหม่
นายฮันเตอร์พาพวกเขาไปแสดงทัวร์ทั้งในยุโรปหลายประเทศ และจึงพากลับมาสหรัฐอเมริกา
การแสดงของอิน-จัน เป็นที่สนใจของชาวยุโรปและอเมริกันเป็นอย่างยิ่ง โชว์ของเขาช่างน่าตื่นตา ไม่ว่าจะเป็น นั่งแข่งหมากรุกกันเอง หรือเล่นตีลูกขนไก่กัน พวกเขาฉลาด มีอารมณ์ขัน เรียนรู้ไว้ สื่อสารภาษาอังกฤษคล่องแคล่ว
2 ปีที่หนุ่มแฝดติดสัญญากับฮันเตอร์ ได้ส่วนแบ่งบ้าง ถูกโกงบ้าง แต่หมดสัญญา ทั้งคู่เดินสายจัดการแสดงเองเป็นเวลานานถึง 10 ปีจนได้เงินเป็นกอบเป็นกำ ทั้งคู่จึงตกลงกันว่าถึงเวลาจะเกษียณตัวเองออกจากวงการการแสดงได้แล้ว และเริ่มชีวิตใหม่ อาชีพใหม่ คือ "ไร่ฝ้าย"
อินและจันลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านTraphill ชานเมือง Wilkesboro รัฐนอร์ทแคโรไลนา โดยทำเงินเก็บจากการแสดงมาลงทุนซื้อที่ดิน 110 เอเคอร์ พร้อมกับได้เปลี่ยนชื่อและเปลี่ยนสัญชาติเป็นอเมริกัน ซึ่งการเปลี่ยนสัญชาติ จำเป็นที่เขาจะต้องมี "นามสกุล" เพื่อนสนิทนักธุรกิจในนิวยอร์กที่นามสกุล "บังเกอร์" ยินดีจะให้อินและจันใช้นามสกุลของเขา และวันที่ 12 ตุลาคม 2382 หนุ่มแฝดจึงได้เป็นอเมริกันชนโดยสมบูรณ์ตามกฎหมาย ในนาม "เอ็ง" (อิน) และ "ชาง" (จัน) บังเกอร์ (Eng and Chang Bunker)
เห็นตัวติดกันแบบนี้ บอกเลยว่า ไม่เป็นปัญหาสำหรับชีวิตสมรสของคนทั้งคู่ อินสมรสกับ Sarah Ann Yates และจันสมรสกับ Adelaide Yates Bunker สองสาวนี้เป็นพี่น้องกัน ทั้งอินและจันมีลูกจำนวนมาก อินมีทายาท 11 คน ในขณะที่จันมี 10 คน
เศรษฐสถานะของอินและจัน จัดว่าเป็นคหบดีของเมืองคนหนึ่ง ไร่ฝ้ายของพวกเขาไปได้สวย เขามีทาสถึง 33 คน ในยุคที่อเมริกันชนที่มีทาสในปกครองมีเพียง 20% ของพลเมืองทั้งหมด
มีการบันทึกอุปนิสัยของแฝดคู่นี้เอาไว้ ว่าจันผู้เป็นน้อง เลือดร้อน หุนหัน ดื่มจัด อารมณ์ค่อนข้างฉุนเฉียวก้าวร้าว ในขณะที่อินคนพี่ ใจเย็น สุขุม และไม่ดื่มเลย ทั้งคู่ทะเลาะวิวาทกันถึงขนาดชกต่อยกันเองมาแล้ว
และด้วยเพราะจันดื่มจัด เขาป่วยหลายโรค จนในวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2417 จันก็เสียชีวิตลงด้วยอาการหัวใจวาย จากนั้นอีกราว 2 ชั่วโมงถัดมา อินก็ได้เสียชีวิตตามไปด้วยอาการช็อค ปิดตำนานแฝดสยามบันลือโลกด้วยวัย 63 ปี ผลจากการผ่าชันสูตรสรุปออกมาว่าบริเวณตับของอินและจันมีเนื้อเยื่อเชื่อมต่อถึงกันอยู่ ซึ่งเท่ากับว่าทั้งสองใช้ตับร่วมกัน แต่จากการทดสอบพบว่าการไหลเวียนของเลือดที่ส่งถึงกันในบริเวณนั้นมีน้อยมาก จนแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีผลกระทบต่อกัน ส่วนการลงความเห็นของแพทย์สมัยใหม่ ระบุว่า อินต้องสูญเสียเม็ดเลือดแดงให้แก่จันที่เสียชีวิตไปแล้ว ผ่านทางเนื้อที่เชื่อมกันที่อก เลือดไหลออกจากอินไปถึงจัน และไม่ไหลเวียนกลับมาหาอิน ทำให้เลือดไหลออกจากอินช้าๆ จนเสียชีวิตตามกันไปในที่สุด
ภาพทั้งหมด จาก FB Group กลุ่มลูกหลานของอินจัน Descendants of Eng and Chang Bunker
website: www.TNNThailand.com
facebook : TNNThailand
twitter : @TNNThailand
Line : @TNNThailand
Youtube Official : TNNThailand
ที่มาข้อมูล : -