คิกออฟ 30 บาทรักษาทุกที่เฟสสุดท้าย 31 จังหวัด เริ่ม 1 ม.ค. 68 ครอบคลุมทั่วประเทศ
นายกรัฐมนตรี เปิดงาน Kick off 30 บาทรักษาทุกที่ เฟส 4 เริ่ม 1 ม.ค. 2568 เชื่อมข้อมูลสุขภาพ 100% เพิ่มความสะดวก ลดความแออัดในโรงพยาบาล
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “Kick off 30 บาท รักษาทุกที่ เพื่อคนไทย สุขภาพดีถ้วนหน้า ระยะที่ 4 ครอบคลุมทั่วประเทศ 1 มกราคม 2568” ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ได้เปิดเฟส 4 ตามที่เคยสัญญาไว้ว่าจะเปิดให้ทุกจังหวัด เพื่อลดภาระให้กับประชาชน โดยวันที่ 1 มกราคม 2568 จะสามารถใช้ 30 บาทได้ทั่วทุกจังหวัดของประเทศไทย หลังจากเริ่มดำเนินโครงการมา 1 ปี จาก 2 ทศวรรษในการพัฒนานโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคเป็น 30 บาทรักษาทุกที่ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลง มีเทคโนโลยีเข้ามีบทบาทมากขึ้น นับว่าเป็นนโยบายที่แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ไม่ต้องกู้หนี้สินเพื่อจ่ายค่ารักษาในการผ่าตัด จนกลายเป็นปัญหาครอบครัว ขณะเดียวกันใช้เทคโนโลยีมาใช้ทำให้ประชาชนไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปเข้าคิวเป็นเวลานาน ทำให้การรักษาพยาบาลสะดวกรวมทั้งหาหมอออนไลน์ มีการส่งยาไปถึงบ้าน สำหรับผู้ป่วยที่ติดเตียง รวมถึงมีเครื่องล้างไตอัตโนมัติ สำหรับผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ให้ยืมใช้ที่บ้านด้วย เป็นมาตรการเชิงรุกมากยิ่งขึ้นให้พี่น้องประชาชนที่ป่วย หรือป่วยติดเตียงลำบากในการเดินทาง ก็สามารถรับการรักษาที่บ้านได้ นอกจากนี้ยังปฏิรูประบบสาธารณสุข ด้วยการเปิดร้านยา และคลินิกเอกชนเข้ามาร่วมเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิ เพื่อที่จะดูแลพี่น้องประชาชน เสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบบบริการปฐมภูมิให้มากยิ่งขึ้น เพิ่มความสะดวก ลดการเดินทาง ลดระยะเวลารอคอย ลดความแออัดในโรงพยาบาล ประชาชนมีการป่วยเล็กน้อยนโยบายของ 30 บาทมีทางเลือกให้เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรับยากับเภสัชใกล้บ้าน ร้านขายยาใกล้บ้าน การทำแผลคลินิกพยาบาลต่างๆ ที่ใกล้บ้าน ทำฟันไม่ต้องรอคิวนาน สามารถนัดตรงขอใช้บริการได้ รวมทั้งยังมีแนวทางในการพัฒนาระบบของสาธารณสุข เรื่องระบบบริการสุขภาพของผู้สูงอายุ โดยเพิ่มเรื่องการดูแลผู้ป่วยติดเตียงแล้วก็จัดตั้งสถานชีวาภิบาลนะคะให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อที่จะดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย รัฐบาล มีการสร้าง care giver เน้นนักบริบาลผู้สูงอายุ 15,000 ตำแหน่งทั่วประเทศ ทำให้เกิดการจ้างงานที่มากขึ้น โดยจะเน้นไปที่ 2 กลุ่มหลักๆ คือ กลุ่มนิสิตนักศึกษาที่จบใหม่ ที่กำลังหางาน โดยเพิ่มเรื่องการเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุ ดูแลคนป่วยได้ และอีกกลุ่ม คือ กลุ่มที่พึ่งเกษียณ ไม่มีงานทำอายุ 60 ปีแล้วรู้สึกว่าอยู่บ้านเฉยๆ อยากจะทำงานหารายได้เพิ่มให้กับครอบครัว นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตอนนี้มีการพัฒนาเรื่องของการดูแลสุขภาพของประชาชน ด้วยการตรวจคัดกรองด้วยตนเองรูปแบบใหม่ ที่ประชาชนใช้แค่บัตรประชาชนใบเดียวไปขอรับได้ที่ร้านขายยา ทั้งชุดตรวจมะเร็งปากมดลูก ชุดตรวจการติดเชื้อ hiv และชุดตรวจพยาธิใบไม้ตับ และมะเร็งท่อน้ำดี และปีนี้จะเพิ่มอีก 1 โรค คือ ชุดตรวจไมโครอาบูมินในปัสสาวะป้องกันโรคไตเสื่อมที่เกิดจากเบาหวาน ค่ะนอกจากสุขภาพทั้งหมดแล้วนะคะเราก็ยังเน้นย้ำในเรื่องของสุขภาพ นอกจากนี้ปัญหาเรื่องภัยธรรมชาติ หรือ global warming ที่โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว รัฐบาล เห็นว่า เรื่องของสุขภาพจิตเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ทำให้ถ้าเราจิตใจแข็งแรง เราก็จะสามารถต่อสู้กับเหตุการณ์ต่างๆได้ พร้อมยกตัวอย่างเหตุการณ์อุทกภัย ต้องมีการปรับในเรื่องของจิตใจ โดยสาธารณสุข ได้ส่งนักบำบัดไปนั่งคุย เพื่อให้ผู้ประสบภัยได้ปรับสุขภาพจิตกลับมาสู่ภาวะปกติ ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี อวยพรทุกคนมีสุขภาพที่แข็งแรง ทุกอย่างเริ่มต้นที่ตัวเราเมื่อเราสุขภาพดี ก็จะมีแรงทำงาน มีแรงพัฒนาตัวเอง ครอบครัว รวมไปถึงบริษัทและประเทศชาติต่อไป ขอให้ทุกคนปีใหม่นี้ แข็งแรงสดใส มีความสุขทั้งสุขกาย ทั้งสบายใจ และขอให้ปีหน้าเป็นปีที่เป็นปีแห่งโอกาสแล้วก็เป็นปีที่ทุกท่านทำอะไรก็ขอให้ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ ภายหลังพิธีเปิดงาน นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมนิทรรศการ ณ บริเวณโถงกลาง ตึกสันติไมตรี ที่มาข่าว:TNN
ข่าวแนะนำ