TNN พ่อแม่ต้องดู "ไอกรนในเด็ก" อันตรายกว่าที่คิด ไม่ควรปล่อยผ่าน เช็คอาการด่วน!

TNN

Health

พ่อแม่ต้องดู "ไอกรนในเด็ก" อันตรายกว่าที่คิด ไม่ควรปล่อยผ่าน เช็คอาการด่วน!

พ่อแม่ต้องดู ไอกรนในเด็ก อันตรายกว่าที่คิด ไม่ควรปล่อยผ่าน เช็คอาการด่วน!

พ่อแม่ต้องดู "ไอกรนในเด็ก" อันตรายกว่าที่คิด ไม่ควรปล่อยผ่าน เช็คอาการด่วน

โรคไอกรนเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bordetella pertussis เชื้อนี้จะสร้างสารพิษที่เข้าไปทำลายเซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจ ทำให้มีอาการไออย่างรุนแรงและต่อเนื่อง โรคไอกรนเป็นอันตรายต่อทุกวัย โดยเฉพาะในเด็กทารกและเด็กเล็ก เนื่องจากเด็กกลุ่มนี้มีภูมิคุ้มกันต่ำ อาการของโรคไอกรนในเด็กทารกและเด็กเล็กจะรุนแรงมาก อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ปอดบวม สมองอักเสบ เสียชีวิต


อาการของโรคไอกรนในเด็ก

อาการของโรคไอกรนในเด็กแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้

• ระยะฟักตัว ระยะนี้เด็กจะมีอาการคล้ายหวัด เช่น ไข้ น้ำมูกไหล ไอเล็กน้อย 

• ระยะอาการไอรุนแรง ระยะนี้เด็กจะมีอาการไออย่างรุนแรงต่อเนื่องหลายสัปดาห์ บางกรณีอาจมีอาการอาเจียนร่วมด้วย 

• ระยะฟื้นตัว อาการไอจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่อาจมีอาการไอเป็นระยะๆ 


โรคแทรกซ้อนที่อาจมากับโรคไอกรนในเด็ก

1. ปอดอักเสบ ซึ่งถือเป็นภาวะที่อันตราย อาจเกิดเสมหะอุดที่หลอดลมและถุงลม ทำให้เกิดภาวะช็อกและเสียชีวิตได้

2. เลือดออกในเยื่อบุตา (Subconjunctival hemorrhage) 

3. อาการชัก เนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง ในขณะที่ไอถี่ๆ 


วิธีสังเกตอาการไอกรนในเด็ก

หากลูกของคุณมีอาการไอที่มีลักษณะดังต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโรคไอกรน

1. ไอรุนแรงเป็นชุดๆ 5-10 ครั้งขึ้นไป

2. ไอจนหน้าแดง หน้ามืด

3. ไอจนอาเจียน

4. ไอจนหายใจไม่ทัน

5. ไอจนมีอาการหอบ


การป้องกันโรคไอกรนในเด็ก

สำหรับวิธีการป้องกันโรคไอกรนในเด็ก ทำได้โดยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไอกรน ซึ่งในประเทศไทยมี 2 ชนิด คือ

1. วัคซีนไอกรนเดี่ยว (DTaP) ฉีดให้เด็กอายุ 2, 4, 6, 18 เดือน และ 4-6 ปี

2. วัคซีนไอกรนรวม (DTaP-IPV-Hib) ฉีดให้เด็กอายุ 2, 4, 6, 18 เดือน และ 4-6 ปี


การดูแลเด็กที่เป็นโรคไอกรน

หากลูกของคุณได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไอกรน ควรดูแลรักษาดังนี้

1. ให้ยาตามคำแนะนำของแพทย์

2. พักผ่อนให้เพียงพอ

3. ดื่มน้ำให้มาก

4. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น


โรคไอกรนในเด็กถือเป็นภาวะที่อันตราย หากคุณพ่อคุณแม่คนไหนพบอาการไอที่มีลักษณะดังที่กล่าวมา ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย รวมถึงได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที


ที่มาข้อมูล : คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล, สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย

ที่มาภาพปก : freepik/prostooleh

ข่าวแนะนำ