ทำความรู้จัก "โรคไอกรน" คืออะไร อันตรายหรือไม่? พร้อมสาเหตุ และอาการ
ชวนทำความรู้จัก "โรคไอกรน" คืออะไร อันตรายหรือไม่? พร้อมสาเหตุ และอาการ
ไอกรน เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจชนิดหนึ่ง สามารถเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย แต่จะแสดงอาการรุนแรงและเป็นอันตรายต่อเด็กเล็กค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงถือเป็นอีกหนึ่งโรคที่ควรระวัง และควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมัน ซึ่งเราจะพาทุกคนไปรู้จักกับสาเหตุ อาการ และวิธีการป้องกันให้มากขึ้นพร้อมกัน ในบทความนี้...
โรคไอกรน คืออะไร?
โรคไอกรน (Pertussis) เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bordetella pertussis เชื้อนี้จะสร้างสารพิษที่เข้าไปทำลายเซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจ ทำให้มีอาการไออย่างรุนแรงและต่อเนื่อง
สาเหตุของโรคไอกรน
โรคไอกรนติดต่อกันได้ง่ายผ่านการไอ จาม หรือสัมผัสสารคัดหลั่งจากจมูกและปากของผู้ป่วย เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูกหรือปาก จากนั้นจะเดินทางเข้าสู่ทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง ก่อให้เกิดการอักเสบและการผลิตสารพิษ
อาการของโรคไอกรน
อาการของโรคไอกรนแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้
- ระยะฟักตัว ระยะนี้ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายหวัด เช่น ไข้ น้ำมูกไหล ไอเล็กน้อย ระยะนี้กินเวลาประมาณ 7-10 วัน
- ระยะอาการไอรุนแรง ระยะนี้ผู้ป่วยจะมีอาการไอรุนแรงต่อเนื่องหลายสัปดาห์ ลักษณะของการไอจะมีลักษณะเป็นชุดๆ โดยผู้ป่วยจะไอติดกันหลายครั้ง (5-10 ครั้งขึ้นไป) ตามด้วยการหายใจเข้าอย่างแรงจนเกิดเสียงวู๊บ (whooping cough) ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการอาเจียนร่วมด้วย ระยะนี้กินเวลาประมาณ 2-6 สัปดาห์
- ระยะฟื้นตัว อาการไอจะค่อยๆ ดีขึ้น ผู้ป่วยอาจไอเป็นระยะๆ ไปอีกประมาณ 2-3 สัปดาห์
อันตรายของโรคไอกรน
โรคไอกรนเป็นอันตรายต่อทุกวัย โดยเฉพาะในเด็กทารกและเด็กเล็ก เนื่องจากเด็กกลุ่มนี้มีภูมิคุ้มกันต่ำ อาการของโรคไอกรนในเด็กทารกและเด็กเล็กจะรุนแรงมาก อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น
ปอดบวม
สมองอักเสบ
เสียชีวิต
การป้องกันโรคไอกรน
วิธีการป้องกันโรคไอกรนที่ดีที่สุดคือ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไอกรน ซึ่งวัคซีนป้องกันโรคไอกรนในประเทศไทยมี 2 ชนิด คือ
1. วัคซีนไอกรนเดี่ยว (DTaP) นิยมฉีดให้เด็กตั้งแต่อายุ 2, 4, 6, 18 เดือน และ 4-6 ปี
2. วัคซีนไอกรนรวม (DTaP-IPV-Hib) นิยมฉีดให้เด็กอายุ 2, 4, 6, 18 เดือน และ 4-6 ปี
นอกจากนี้ ยังสามารถป้องกันโรคไอกรนได้โดยการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย หรือหากจำเป็นต้องสัมผัส ควรสวมหน้ากากอนามัยและล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ
หากสงสัยว่าตนเองหรือคนในครอบครัวอาจติดเชื้อโรคไอกรน ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องต่อไป
ที่มาข้อมูล : คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล, โรงพยาบาลศิครินทร์
ที่มาภาพปก : freepik/evening_tao
ข่าวแนะนำ