IMF มองไทยเศรษฐกิจฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป มองปี 68 ขยายตัว 2.9%
IMF ประเมินเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป มองปี 2568 ขยายตัว 2.9% ปัจจัยการใช้จ่ายภาครัฐ - ลงทุนของเอกชน
วันนี้ (29 พ.ย. 67) น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ช่วงระหว่างวันที่ 11-26 พ.ย.67 คณะผู้แทนจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้เดินทางมาประเทศไทย เพื่อประเมินภาพรวมภาวะเศรษฐกิจและหารือกับหน่วยงานของไทย เช่น กระทรวงการคลัง, ธปท., สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์), สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งภาคธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาคการเงิน และภาคเศรษฐกิจจริง ซึ่งมีการจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ทั้งนี้ เพื่อประเมินภาวะเศรษฐกิจ การเงิน และมุมมองของนโยบายภาครัฐที่สำคัญ
จากที่ IMF ได้ประเมินภาพเศรษฐกิจไทย พบว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้แบบค่อยเป็นค่อยไป โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากการบริโภคภาคเอกชน และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว แม้ว่าในช่วงแรกของปีนี้ การเบิกจ่ายภาครัฐจะยังมีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ไม่มากนัก อันเนื่องจากความล่าช้าในการจัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณร่ายจ่าย ประจำปี 2567 แต่ IMF ก็คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ จะขยายตัวได้ 2.7% และคาดว่าในปี 68 เศรษฐกิจไทย จะขยายตัวได้ 2.9% โดยมีปัจจัยหลักจากการใช้จ่ายภาครัฐ และการลงทุนภาคเอกชนที่จะกลับมาเป็นแรงขับเคลื่อนได้ดีขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับประมาณการของ ธปท. และหน่วยงานด้านเศรษฐกิจของไทย
โฆษก ธปท. กล่าวต่อว่า IMF มองว่ายังมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การค้าโลก ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจในภูมิภาค รวมทั้งไทยด้วย โดยอาจจะมีผลกระทบต่อการส่งออก และการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ลดลง นอกจากนี้ ยังมีความกังวลต่อความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งจะส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และการเงินของประเทศได้ รวมถึงความเสี่ยงจากภาระหนี้ของเอกชน ที่อาจจะส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป
สำหรับนโยบายการคลังนั้น IMF มองว่า เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวได้แล้ว ในระยะต่อไปการทำนโยบายจะต้องเน้นการสร้าง Policy Space มากขึ้น ซึ่งนโยบายการคลังขยายตัวได้น้อยกว่าแผนที่คาดไว้ แต่ก็ยังสามารถทำหน้าที่ในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ และต้องรักษา Policy Space ไว้ หรือจัดสรรงบประมาณบางส่วนไปลงทุนในการเพิ่มการผลิตภาพ และปฏิรูปการคุ้มครองทางสังคม เพื่อทำให้การเติบโตเป็นไปอย่างทั่วถึงมากขึ้น และลดสัดส่วนหนี้สาธารณะลงด้วย
สำหรับนโยบายการเงินนั้น IMF เห็นด้วยกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา และเห็นว่ายังสามารถลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และช่วยเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ เนื่องจากปัจจุบันความเสี่ยงในการก่อหนี้ใหม่อาจจะมีไม่มาก เพราะสินเชื่อชะลอตัว
ภาพจาก: AFP
ข่าวแนะนำ