ศบค.ปรับมาตรการเดินทางเข้าไทยล่าสุด ต้องตรวจโควิดด้วยวิธี RT-PCR
ที่ประชุม ศบค. ปรับมาตรการเดินทางเข้าไทย คงมาตรการตรวจโควิดด้วยวิธี RT-PCR เหมือนเดิม จัดกลุ่มประเภทบุคคล 6 กลุ่ม หวั่นมีสายพันธุ์ระบาดใหม่และให้เข้ากับมาตรฐานสากล
วันนี้ (13 ธ.ค.64) นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงผลการประชุมศบค.ชุดใหญ่ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ว่า สำหรับการปรับมาตรการเข้าราชอาณาจักร สืบเนื่องจากพบการแพร่ระบาดสายพันธุ์โอไมครอน และบางประเทศพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น จึงมีมติปรับมาตรการ ดังนี้
1. การปรับมาตรการเข้าราชอาณาจักร
จากมติ ศบค. วันที่ 26 พ.ย. 64 เนื่องจากจากการพบสายพันธุ์โอไมครอน และสถานการณ์บางประเทศพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ปรับดังนี้
1.1 การพำนักในพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว และการเข้ากักตัว กรณีได้รับวัคซีนปรับจาก 7 เป็น 5 วัน
>> ขอปรับระยะเวลาพำนัก/กักตัว เป็น 7 วัน ตามเดิม
1.2 การปรับการตรวจหาเชื้อสำหรับ Test and Go และ พื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว ปรับจาก RT-PCR เป็น ATK
>> ขอปรับเป็น RT-PCR ครั้งที่ 1 ตามเดิม และยังคงตรวจ ATK ด้วยตนเองครั้งที่ 2
2. การปรับกลุ่มประเภทบุคคล ประเทศ เงื่อนไข และมาตรการเข้าราชอาณาจักร
2.1 การจัดกลุ่มประเภทบุคคล : เป็น 6 กลุ่ม ได้แก่ 1) Test and Go 2) Sandbox 3) กักตัว 4) ผู้ขนส่งสินค้า ทางบก เรือ 5) ผู้ควบคุมยานพาหนะ หรือ เจ้าหน้าที่ประจำยานพาหนะ 6)ผู้มีเหตุยกเว้น หรือได้รับอนุญาตตามเงื่อนไขเฉพาะ
2.2 การแบ่งกลุ่มประเทศ : เป็น 4 กลุ่ม
1) กลุ่มประเทศ Test and Go 2) กลุ่มทุกประเทศ 3) กลุ่มประเทศเสี่ยงต่ำ 4) กลุ่มประเทศเสี่ยงสูง
2.3 เงื่อนไขการเข้าราชอาณาจักร : การได้รับวัคซีน, การตรวจหาเชื้อ, ช่องทาง, ระยะเวลาในการพำนัก/กักตัว การกักตัวผู้สัมผัสเสี่ยงสูง
2.4 การปรับเงื่อนไขการเดินทาง Test and Go (จังหวัดที่เดินทางได้) และ พื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว (กรณีมีความยากในการการกำกับการเข้าออกของคนในประเทศ ให้เน้นย้ำมาตรการ COVID Free Setting)
2.5 การกักตัวผู้สัมผัสเสี่ยงสูง สามารถกักในโรงแรมเดิมได้ ตามหลักเกณฑ์และระยะเวลาที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด
ข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูล COVID-19
ภาพจาก TNN ONLINE