สรุปข่าว
วันนี้ (17ม.ค.65) นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ทำการทดสอบประสิทธิภาพของภูมิคุ้มกันจากวัคซีนในการป้องกันเชื้อโควิด-19 ต่อไวรัสสายพันธุ์เดลต้าและสายพันธุ์โอมิครอน โดยเก็บตัวอย่างของผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว 8 สูตรที่ใช้ฉีดในไทย มีรายละเอียด ดังนี้
1. ซิโนแวค+แอสตร้าเซนเนก้า
มีระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์เดลต้า 201.90 และ มีระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอมิครอน 11.63
2. ไฟเซอร์+ไฟเซอร์
มีระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์เดลต้า 189.40 และ มีระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอมิครอน 19.17
3. แอสตร้าเซนเนก้า+ไฟเซอร์
มีระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์เดลต้า 388.20 และมีระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอมิครอน 21.21
4. ซิโนแวค+ไฟเซอร์
มีระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์เดลต้า 581.10 และ มีระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอมิครอน 21.70
5. แอสตร้าเซนเนก้า+แอสตร้าเซนเนก้า
มีระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์เดลต้า 226.90 และ มีระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอมิครอน 23.81
6. ซิโนแวค+ซิโนแวค+แอสตร้าเซนเนก้า
มีระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์เดลต้า 368.10 และมีระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอมิครอน 71.64
7. แอสตร้าเซนเนก้า+แอสตร้าเซนเนก้า+ไฟเซอร์
มีระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์เดลต้า 691.10 และมีระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอมิครอน 229.90
8. ซิโนแวค+ซิโนแวค+ไฟเซอร์
มีระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์เดลต้า 729.30 และมีระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอมิครอน 282.50
สำหรับข้อมูลนี้เป็นการเก็บตัวอย่างเลือดระยะเวลา 2 สัปดาห์หลังฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นเวลาที่ภูมิคุ้มกันขึ้นมาค่อนข้างดี โดยเป็นการหาระดับภูมิคุ้มกันแบบลบล้างฤทธิ์ (neutralizing antibody) ต่อเชื้อไวรัสจริงในห้องปฏิบัติการ BSL-3 โดยวิธี PRNT: Plaque Reduction Neutralization Test วัคซีนทุกสูตรทำให้ภูมิคุ้มกันแบบลบล้างฤทธิ์ ต่อเชื้อโอมิครอนลดลง แต่การฉีดเข็มกระตุ้นจะสามารถป้องกันไวรัสโอมิครอนได้ดี แต่การคงอยู่ของระดับภูมิคุ้มกันต้องติดตามตรวจในระยะต่อไป
อย่างไรก็ดี วัคซีนทุกสูตรยังช่วยลดความรุนแรงและการเสียชีวิตของผู้ป่วยในทุกสายพันธุ์ ในสนามจริง (real world) และการฉีดวัคซีนยังมีความจำเป็น โดยเฉพาะเข็มกระตุ้น (booster dose) เพื่อให้ภูมิคุ้มกันมากพอที่จะลดการแพร่การติดเชื้อ และการเจ็บป่วยรุนแรงหรือเสียชีวิตได้มากขึ้น
ข้อมูลจาก กระทรวงสาธารณสุข
ภาพจาก TNN ONLINE / กระทรวงสาธารณสุข
ที่มาข้อมูล : -