สรุปข่าว
ตับ เป็นหนึ่งในอวัยวะภายในของร่างกายที่มีความสำคัญ และทำงานหนัก อยู่เบื้องหลังคอยดูแลระบบต่างๆ ในร่างกายของเรา โดยหน้าที่หลักๆ ของตับมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการกรองเลือดและกำจัดสารพิษ ผลิตน้ำดีเพื่อช่วยย่อยไขมัน ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด สังเคราะห์โปรตีนที่จำเป็นต่อร่างกาย เก็บสะสมวิตามินและแร่ธาตุ กำจัดเซลล์เม็ดเลือดแดงที่เก่าแล้ว เผาผลาญไขมัน และมีส่วนในการช่วยผลิตฮอร์โมน ดังนั้นหากตับเกิดความผิดปกติจนเกิดเป็นโรคตับขึ้นมา จะทำให้ระบบร่างกายถูกระทบอย่างวงกว้าง บทความนี้เราจะพาไปดู พฤติกรรมเสี่ยง ที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับ เพื่อให้ทุกคนได้ระวังกันมากยิ่งขึ้น
หยุด 5 พฤติกรรมหล่านี้ หากไม่อยากเสี่ยงเป็น "โรคตับ"
1. ดื่มแอลกอฮอล์
การดื่มแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุหลักของโรคตับหลายชนิด โดยเฉพาะ โรคตับแข็ง และ มะเร็งตับ เนื่องจากเมื่อดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป ร่างกายจะนำไปเผาผลาญที่ตับ กระบวนการนี้จะสร้างสารพิษที่ทำลายเซลล์ตับ จนทำให้ตับเกิดความผิดปกติได้
2. ทานอาหารไขมันสูง
การรับประทานอาหารไขมันสูงอยู่เป็นประจำ เป็นสาเหตุหลักของโรคไขมันพอกตับ ซึ่งเป็นหนึ่งในชนิดของโรคตับเรื้อรังที่พบได้บ่อยมาก เหตุผลเพราะเมื่อทานอาหารไขมันสูงเข้าไป ไขมันส่วนเกินจะถูกนำไปสะสมในตับ หากตับเผาผลาญไม่ทัน ก็จะเกิดเป็นไขมันพอกตับ และยิ่งปล่อยไปนานโดยไม่ได้รับการรักษาอาจ นำไปสู่ตับอักเสบ ตับแข็ง และมะเร็งตับได้อีกด้วย
3. อ้วนลงพุง
คนอ้วนลงพุงมีความเสี่ยงสูงต่อ โรคไขมันพอกตับ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของ โรคตับแข็ง และ มะเร็งตับ เนื่องจากไขมันส่วนเกินที่สะสมในช่องท้อง บางส่วนสามารถเข้าสู่กระแสเลือด และไปสะสมที่ตับได้
4. สูบบุหรี่จัด
สารพิษในควันบุหรี่ เช่น สารก่อมะเร็ง สารอนุมูลอิสระ จะเข้าสู่ร่างกายผ่านปอด สารพิษเหล่านี้จะถูกส่งไปยังตับเพื่อกำจัด ตับต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อกำจัดสารพิษ ส่งผลต่อเซลล์ตับให้เกิดความผิดปกติ จนอาจเกิดเป็นโรคตับแข็ง และมะเร็งตับได้นั่นเอง
5. ไม่ตรวจเช็กสุขภาพ
การตรวจเช็กสุขภาพถือเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะจะได้ทราบค่าสารต่างๆ ในร่างกาย เพื่อดูว่ามีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่ จะได้แก้ไขได้ทันท่วงที
ที่มาข้อมูล : โรงพยาบาลเมดพาร์ค, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์
ที่มาข้อมูล : -