"กล้วยน้ำหว้า-เสลดพังพอน" สมุนไพรไทยรักษา "โรคงูสวัด" ได้ จริงหรือ?

"กล้วยน้ำหว้า-เสลดพังพอน" สมุนไพรไทยรักษา "โรคงูสวัด" ได้ จริงหรือ?

สรุปข่าว

งูสวัด โรคที่อยู่คู่กับคนไทยมาเป็นเวลายาวนาน โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา (Varicella zoster virus: VZV) เชื้อไวรัสชนิดเดียวกันกับที่ก่อโรคอีสุกอีใส เชื้อนี้หากเป็นครั้งแรกจะทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส แต่หลังจากหายเชื้อไวรัสสามารถซ่อนอยู่ในร่างกายได้ ทำให้ส่วนมากมักพบโรคงูสวัดในผู้สูงอายุ แต่ก็สามารถพบได้ในช่วงอายุอื่นๆ โดยเฉพาะผู้ที่พักผ่อนน้อย ร่างกายอ่อนแอ ภูมิต้านทานตก เป็นต้น 

ในอดีต ตอนที่การแพทย์ในไทยยังไม่พัฒนาและเต็มไปด้วยเทคโนโลยีเหมือนอย่างปัจจุบัน การรักษาโรคงูสวัดจึงมักใช้วิธีแบบชาวบ้านและแพทย์แผนโบราณ นั่นก็คือการใช้สมุนไพรใกล้ตัวที่อยู่ตามท้องถิ่นมาใช้แทนยาเพื่อต่อสู้กับโรคชนิดนี้ ไม่ว่าจะเป็นชุมเห็ดไทย จักรนารายณ์ และที่นิยมใช้มากที่สุดอย่าง “สเลดพังพอน” และ “กล้วยน้ำหว้า” เป็นต้น


“กล้วยน้ำหว้าและสเลดพังพอน” รักษาโรคงูสวัดได้จริงหรือไม่?

ในอดีตสเลดพังพอนและกล้อยน้ำหว้า ถือเป็นสมุนไพรยอดนิยมที่คนมักใช้ในการรักษาโรคงูสวัด เมื่อการแพทย์วงการวิทยาศาสตร์พัฒนามากยิ่งขึ้น จึงเผยให้เห็นว่า สมุนไพรทั้งสองอย่าง สามารถรักษางูสวัดได้ จริงหรือไม่ ดังนี้

1. กล้วยน้ำหว้า 

ในอดีตเมื่อมีผู้ป่วยโรคงูสวัด ชาวบ้านนิยมใช้ยางกล้วยในการก้ามเลือดและรักษาแผลที่ผุพองจากโรคงูสวัด แต่ในความเป็นจริงนั้น “ยางกล้วย” ไม่สามารถ ฆ่าเชื้อไวรัสที่ก่อโรคงูสวัดได้ ถึงแม้จะหายไปชั่วขณะแต่ไม่ได้หายขาด ดังนั้นเชื่อจะยังหลงเหลือในร่างกายจึงสามารถกลับเป็นซ้ำ 

2. สเลดพังพอน

สเลดพังพอน อีกหนึ่งสมุนไพรที่ตามตำราแพทย์แผนโบราณเชื่อว่าสามารถรักษาและถอนพิษโรคงูสวัดได้ ซึ่งความเป็นจริงจากการวิจัยพบว่าใบเสลดพังพอนตัวเมียสามารถลดอาการอักเสบได้จริง จึงทำให้แผลจากงูสวัดหายได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นยังไม่แน่ชัดว่าสามารถฆ่าเชื้อไวรัสจากงูสวัดได้จริงหรือไม่ ดังนั้นยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่จนปัจจุบัน


โรคงูสวัดเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ที่มีความสามารถในการซุกซอนตามอวัยวะต่างๆของร่างกาย แม้ว่าสมุนไพรจะสามารถช่วยรักษาได้ แต่อาจไม่ได้ทำให้เชื้อหมด0E44จากร่างกาย ดังนั้นเมื่อมีอาการป่วยจากโรคงูสวัด แนะนำว่าให้พบแพทย์และรับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป


ที่มาข้อมูล : โรงพยาบาลพญาไท, กรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก

ที่มาภาพ : freepik/mrsiraphol

ที่มาข้อมูล : -

ที่มารูปภาพ :

แท็กบทความ