แคชเมียร์แล้งหนัก สัญญาณอันตรายจากโลกร้อน

ชาวแคชเมียร์ในเทือกเขาหิมาลัยต้องเผชิญกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อน้ำพุโบราณที่มีความสำคัญต่อชุมชนแห้งขอดเป็นครั้งแรกในความทรงจำของคนรุ่นปัจจุบัน ภัยแล้งที่รุนแรงและสภาพอากาศที่แปรปรวนทำให้แหล่งน้ำในภูมิภาคเหือดแห้ง ส่งผลกระทบต่อการเกษตรและการดำรงชีวิตของประชาชน แม้ว่าน้ำพุจะกลับมาไหลอีกครั้งหลังจากมีฝนและหิมะตก แต่ชาวบ้านต่างหวั่นวิตกว่า วิกฤตการณ์นี้เป็นสัญญาณของผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อาจรุนแรงขึ้นในอนาคต

น้ำพุที่ตั้งอยู่ในสวนโบราณที่สร้างขึ้นโดยพระมเหสีของจักรพรรดิโมกุลจาฮางีร์ในศตวรรษที่ 17 และเป็นแหล่งน้ำดื่มหลักของ 20 หมู่บ้านในพื้นที่ ก่อนหน้านี้มีคลิปวิดีโอที่เผยแพร่บนโซเชียลมีเดีย แสดงให้เห็นถึงหญิงชราอายุ 80 ปีร้องไห้และอธิษฐานขอให้น้ำพุกลับคืนมา ทำให้เกิดกระแสความห่วงใยไปทั่วแคชเมียร์ ประชาชนจำนวนมากต้องพึ่งพารถบรรทุกน้ำของรัฐบาล เนื่องจากลำธารและแม่น้ำสาขาของแม่น้ำเจลัม ซึ่งเป็นแหล่งน้ำหลักของแคชเมียร์ เริ่มแห้งขอด

แคชเมียร์แล้งหนัก สัญญาณอันตรายจากโลกร้อน

สรุปข่าว

“แคชเมียร์” เผชิญวิกฤตภัยแล้งรุนแรง น้ำพุโบราณแห้งขอดเป็นครั้งแรก กระทบประชาชนและการเกษตร นักวิทยาศาสตร์เตือนว่านี่คือผลจากภาวะโลกร้อนที่รุนแรงขึ้น

ปัญหานี้เกิดขึ้นท่ามกลางปรากฏการณ์อากาศที่ผิดปกติ โดยตั้งแต่ต้นปี 2567 พื้นที่แคชเมียร์มีปริมาณฝนและหิมะลดลงถึง 80% อุณหภูมิในตอนกลางวันสูงกว่าค่าปกติถึง 5-8 องศาเซลเซียส ส่งผลให้ฤดูหนาวอบอุ่นผิดปกติและส่งผลกระทบต่อทั้งการเกษตรและการท่องเที่ยว โดยการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวของอินเดียที่จัดขึ้นทุกปีในเมืองกุลมาร์กต้องถูกยกเลิกเนื่องจากขาดหิมะ

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงในแคชเมียร์เป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน “นี่คือสภาพอากาศแบบใหม่ที่เราต้องเผชิญ” มุคตาร์ อาเหม็ด หัวหน้าสำนักงานอุตุนิยมวิทยาของอินเดียในแคชเมียร์กล่าว “เราพบเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงเกิดขึ้นบ่อยขึ้น และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผลกระทบของภาวะโลกร้อนในพื้นที่ที่เปราะบางทางนิเวศวิทยาแห่งนี้ชัดเจนขึ้นมาก”

สถานการณ์นี้สะท้อนถึงปัญหาทั่วโลก โดยปี 2567 ถูกบันทึกว่าเป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ แซงหน้าปี 2566 และมีอุณหภูมิสูงจนเกินเกณฑ์ที่กำหนดในข้อตกลงปารีสปี 2558 ซึ่งตั้งเป้าจำกัดภาวะโลกร้อนให้อยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียสเหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า หากโลกยังคงร้อนขึ้นเกินระดับนี้ต่อเนื่อง จะส่งผลให้เกิดภัยพิบัติที่รุนแรงขึ้น เช่น อัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้น การทำลายล้างของระบบนิเวศ และระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนนับล้านทั่วโลก

ที่มาข้อมูล : apnews.com

ที่มารูปภาพ : Reuters

avatar

Sane Srisukhot
(Sane Srisukhot)