สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ได้จัดทำโพลสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่คนไทยให้ความสำคัญในปี 2567 ผลสำรวจพบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ ปัญหาโลกร้อน (20.3%) ซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียสจากระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม ส่งผลให้เกิดภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง และส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและคุณภาพชีวิต ปัญหาขยะมูลฝอยที่จัดการไม่ถูกต้อง (19.1%) เนื่องจากปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้นกว่า 28-29 ล้านตันต่อปี แต่การคัดแยกขยะยังไม่เป็นระบบ และ ปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 (13.1%) ซึ่งส่วนใหญ่มาจากมลพิษจากการจราจรและการเผาพื้นที่เกษตร ส่งผลต่อสุขภาพประชาชนในเขตเมือง
สรุปข่าว
โพลเผยปัญหาสิ่งแวดล้อมที่คนไทยให้ความสำคัญมากที่สุดในปี 2567 ได้แก่ โลกร้อน ขยะมูลฝอย และ PM2.5 ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อแก้ไขอย่างเป็นระบบและยั่งยืน
อันดับที่ 4 การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (8.2%) ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาสมดุลระบบนิเวศที่ถดถอย สาเหตุหลักมาจากการขยายตัวของเมือง การบุกรุกพื้นที่ป่า และการใช้ที่ดินที่ไม่เหมาะสม ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติลดลง ส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหารและคุณภาพชีวิต นอกจากนี้ TEI ยังพบว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ที่ได้รับความสนใจ ได้แก่ ปัญหากากแคดเมียม 15,000 ตันในโรงงานสมุทรสาคร ฝุ่น PM2.5 ในภาคเหนือ ขยะพลาสติกในทะเล (7.4%) สถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเชียงราย (5.3%) ปลาหมอคางดำ เอเลียนสปีชีส์รุกล้ำน่านน้ำไทย (5.7%) พะยูนตายที่จังหวัดตรัง (2.5%) และกากสารเคมีและไฟไหม้โรงงานที่พระนครศรีอยุธยา (1.6%)
ดร.วิจารย์ สิมายา ผู้อำนวยการ TEI ระบุว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งหมดมีความเชื่อมโยงกัน และหากไม่ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน การแก้ไขปัญหาจะทำได้ยาก จึงเสนอให้ภาครัฐมีมาตรการที่เข้มงวด เช่น การกำกับดูแลเรื่องโลกร้อนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การส่งเสริมการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง การควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศ และการบริหารจัดการพื้นที่เพื่อรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงการกำหนดมาตรการที่ชัดเจนในการป้องกันมลพิษทางอุตสาหกรรม
การสำรวจครั้งนี้ดำเนินการผ่านช่องทางออนไลน์ของ TEI และเครือข่ายพันธมิตร ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนมีความตระหนักต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่ยังต้องการให้ภาครัฐและเอกชนมีบทบาทที่ชัดเจนและจริงจังมากขึ้น เพื่อให้การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมเกิดผลเป็นรูปธรรมและนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป
ที่มาข้อมูล : สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย - TEI
ที่มารูปภาพ : NASA