เสื้อผ้าผู้ชาย และผู้หญิงที่แขวนบนราวนี้ เป็นเสื้อผ้าที่ผลิตมาจาก "ผ้าไหมอีรี่" ผ้าไหมย้อมสีจากวัตถุดิบธรรมชาติ ลวดลายสวยงาม ประณีต และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ฝีมือการทอของสมาชิกจากศูนย์เรียนรู้ชุมชนบ้านหนองหญ้าปล้อง ต.โพนเพ็ก อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น
ที่บอกว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมก็เพราะว่าสีที่ได้จากการย้อมผ้าไหมนั้น ล้วนแล้วแต่หาได้จากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นแก่นต้นฝางต้ม ให้สีแดง กิ่งก้านและฝักของต้นกระถิน เมื่อนำมาต้มก็จะได้สีเหลือง รวมทั้งโคลน ที่หาได้จากหนองน้ำในหมู่บ้าน เมื่อนำมาละลายกับน้ำ และกรองออกมาแล้วสีที่ได้จะออกเป็นสีเทาเข้ม
ซึ่งกว่าจะได้น้ำสีจากธรรมชาติ จะต้องใช้เวลานาน ตั้งแต่กระบวนการต้ม การกรองกากวัตถุดิบ และการผสมตามสูตร เพื่อให้สีติดเส้นไหมและเส้นฝ้าย
และส่วนสำคัญของการทำผ้าไมอีรี่ของที่นี่ก็คือ เขาได้เลี้ยง"หนอนไหม" เอาไว้เพื่อมาทอเป็นผ้าไหม ซึ่งการเลี้ยงหนอไหมของกลุ่มนี้ เขาจะเลี้ยงด้วยใบมันสำปะหลังแทนการใช้ใบหม่อนเหมือนที่เราเคยเห็นกัน
โดยสมาชิกจากกลุ่มสมาชิกจากศูนย์เรียนรู้ชุมชนบ้านหนองหญ้าปล้อง จะให้ความสำคัญในทุกขั้นตอนของการผลิตผ้าไหมอีรี่ โดยเฉพาะขั้นตอนของการย้อม เป็นขั้นตอนสำคัญ เพราะหากไม่มีความชำนาญ ก็จะทำให้เส้นไหมไม่ติดสีหรือสีเพี้ยนได้ ซึ่งการย้อมสีใน 1 ครั้ง อาจจะต้องผสมคู่สี ที่มีมากว่า 1 สี เป็นขั้นตอนที่ละเอียดอ่อน ผู้ที่ทำหน้าที่ย้อมต้องดูสีให้เป็น เพื่อให้ได้สีที่สวยเข้ากัน
เมื่อเสร็จขั้นตอนย้อมแล้ว ก็จะนำเส้นไหมไปตากลมให้แห้งสนิท
จากนั้นก็จะเข้าสู่กระบวนการตีเกลียว ด้วยเครื่องตีเกลียวเส้นไหมอีรี่ เพื่อเข้าสู่กระบวนการทอออกมาเป็นผืนด้วยกี่พื้นบ้าน
ก่อนจะนำผ้าไหมที่ได้ไปทำเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น หมวก เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม รวมทั้งทำเป็นผืนขนาดต่าง ๆ ไว้จำหน่ายราคาตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักแสนบาท
นางทองเลิศ สอนจันทร์ ประธานกลุ่มทอผ้าบ้านหนองหญ้าปล้อง – ไหมอีรี่ ให้ข้อมูลว่ากลุ่มทอผ้าบ้านหนองหญ้าปล้อง มีสมาชิกกว่า 30 คน ปัจจุบันได้รับคำแนะนำและการสนับสนุนจากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ ที่ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ไหมอีรี่ให้ตอบสนองความต้องการของตลาด ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสืบทอดรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่นให้ยั่งยืน และเสริมสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้คนในชุมชน ปีละไม่ต่ำกว่ากว่า 1 ล้านบาท
สรุปข่าว
ที่มาข้อมูล : ผู้สื่อข่าวภูมิภาค
ที่มารูปภาพ : ผู้สื่อข่าวภูมิภาค
Vara Saratham
(Vara-Saratham)