

สรุปข่าว
เชฟโรเลต ประเทศไทย จัดกิจกรรม “Driven to Achieve” ขับขี่เพื่อทุกความสำเร็จ โดยจัดให้สื่อมวลชนได้ร่วมทดสอบสมรรถนะการขับขี่ เทคโนโลยีและฟังก์ชันต่างๆ ของเชฟโรเลต แคปติวา ใหม่ บนเส้นทางจากกรุงเทพฯ-หัวหิน-ชะอำ ภายใต้สภาพการจราจรที่หลากหลายใกล้เคียงกับรูปแบบการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน
ก่อนจะไปลองของจริง ขอเริ่มต้นด้วยการสำรวจรายละเอียดของตัวรถว่ามีอะไรน่าสนใจกันบ้าง โดยข้อมูลจากการพรีเซ้นต์ในงานเปิดตัว แจงไว้ว่าเจ้า แคปติวา ใหม่ หรืออีกหลายๆ ชื่อในแบรนด์อื่นคันนี้ ได้แรงบันดาลใจจากเครื่องบินรบล่องหน เอฟ-35 (F-35 stealth) ของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกากันทีเดียว ยังไงให้ลองจินตนาการภาพกันดูครับ
สำหรับรายละเอียดส่วนอื่นๆ ไล่ตั้งแต่ไฟหน้า มาในรูปแบบโปรเจคเตอร์พร้อม LED Daytime running light แถมมีไฟเลี้ยวในชุดโคมเดียวกัน (สำหรับรุ่น LT และ Premier) ส่วนกระจังหน้าดีไซน์แบบสี่เหลี่ยงคางหมูเป็นซี่ 3 ชั้น พร้อมฝังด้วยเส้นโครเมี่ยม ตรงกลางประดับด้วยตราสัญลักษณ์โบว์ไทน์สีทองตามสไตล์เชฟโรเลต ขณะตัวกระจกมองฝังด้วยแถบไฟเลี้ยวแบบ LED
เหนือขึ้นไปเป็นหลังคาพาโนรามิก (Panoramic Sunroof) กว้างถึง 0.82 ตร.ม. สามารถเปิด-ปิดได้แบบอัตโนมัติ One-touch (สำหรับรุ่น Premier เท่านั้น) รวมทั้งติดตั้งอากาศครีบฉลามตามกระแสนิยมของรถยุคปัจจุบัน นอกจากนั้นยังติดตั้วสปอยเลอร์หลัง พร้อมไฟเบรกหลังที่ 3 แบบ LED
ล้อแม็กมาด้วยขนาด 17 นิ้ว 215/60 R 17 สำหรับรุ่น LS และ LT ส่วนรุ่น Premier ล้อแม็กดีไซน์แทบจะเหมือนกันแตกต่างตรงเป็นสีแบบทูโทน และยางในทุกรุ่นย่อยมีขนาด 215/60 R 17
สีตัวถังมีให้เลือก 5 สี ประกอบด้วย เงิน-ออโรร่า ซิลเวอร์, เงิน-แดซลิ่ง ซิลเวอร์, ดำ-สตาร์รี่ แบล็ก, ขาว-แคนดี้ ไวท์ และแดง-คาร์เนเลียน เรด
มิติตัวถัง : ความยาว 4,655 มม. (พร้อมกันชนหน้า) ความกว้าง 1,835 มม. (พร้อมกระจกมองข้างที่ขยายจนสุด) ความสูง 1,760 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 175 มม. น้ำหนักรถเปล่า 1,520 กก. (รุ่น LS), 1,600 กก. (รุ่น LT), 1,630 กก. (รุ่น Premier)
ด้านภายในห้องโดยสาร เน้นความเรียบไม่หวือหวามากนัก ขณะที่ฟังก์ชั่นและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายต่างๆ ก็จัดมาให้ค่อนข้างที่จะครบทีเดีย; ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชันหุ้มด้วยหนัง (เฉพาะรุ่น Premier) สามารถควบคุมเครื่องเสียงพร้อมปุ่มรับวางสายโทรศัพท์ได้ที่ก้านพวงมาลัย มาพร้อมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์อัจฉริยะ Push start (สำหรับรุ่น LT และ Premier) กุญแจอัจฉริยะ (PEPs) ระบบ keyless entry พร้อมระบบป้องกันการโจรกรรม (Immobilizer) (สำหรับรุ่น LT และ Premier)
บริเวณมาตรวัดความเร็วเป็นหน้าจอสีแบบดิจิตอล TFT ขนาด 7 นิ้ว (เฉพาะรุ่น Premier) ออกแบบให้มองเห็นง่ายและอ่านข้อมูลได้อย่างชัดเจน ในภาคบันเทิงเรียกว่าเชฟโรเลตตั้งใจให้เป็นจุดขายกันเลยทีเดียว โดนเฉพาะกับ หน้าจออินโฟเทนเมนท์บริเวณคอนโซลกลางแบบระบบสัมผัส ขนาด 10.4 นิ้ว! ขนาดเรียกว่าใกล้เคียงกับไอแพด
รวมทั้งยังมีระบบ Chevrolet Link เชื่อมต่อการสื่อสารและความบันเทิง แสดงหน้าจอมือถือบนจออินโฟเทนเมนท์ รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ด้วยสัญญาณบลูทูธ ระบบเครื่องเสียง Infinity by Harman คุณภาพเยี่ยม แบบพรีเมียมรอบทิศทาง พร้อมลำโพง 9 ตัวรวมซับวูปเฟอร์ (เฉพาะรุ่น Premier)
ช่องเชื่อมต่อ USB พอร์ท 4 ตำแหน่ง (สำหรับรุ่น LT และ Premier) ช่องจ่ายกระแสไฟ 12 โวลต์ บริเวณคอนโซลกลาง ระบบไฟนำทางเข้าบ้าน Walk Me Home ช่วยส่องไฟนำทางหลังดับเครื่องยนต์ ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ (สำหรับรุ่น Premier เท่านั้น) รวมทั้งยังมีช่องปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนที่ 2 (สำหรับทุกรุ่น) และระบบปรับอากาศแยกส่วนสำหรับผู้โดยสารตอนที่ 3 เย็นทั่วถึงทั้งห้องโดยสาร (สำหรับรุ่น LT และ Premier)
เบาะที่นั่งหุ้มด้วยวัสดุหุ้มหนังสังเคราะห์สีชาโคล (สำหรับรุ่น LT และ Premier) และผ้ายีนส์ขอบดำ (สำหรับรุ่น LS) ตัวเบาะฝั่งคนขับปรับไฟฟ้าแบบ 6 ทิศทาง (เฉพาะรุ่น Premier) และรองรับผู้โดยสารสูงสุดถึง 7 ที่นั่ง (สำหรับรุ่น LT และ Premier)
ส่วนพื้นที่นั่งแถวที่ 2 เพิ่มพื้นที่ช่วงขาให้กว้างขึ้นและพื้นที่นั่งแถวที่ 3 สามารถพับเบาะได้หลากหลาย ในอัตราส่วน 60:40 เบาะแถวที่ 3 พับได้ ในอัตราส่วน 50:50 (สำหรับรุ่น LT และ Premier) มีที่วางแก้วและช่องเก็บของทุกแถว
ในส่วนของเครื่องยนต์เป็นบล็อกเบนซิน 4 สูบ 1.5 ลิตร เทอร์โบ พร้อมระบบวาล์วแปรผันคู่ (DVVT) อัตราส่วนกำลังอัด 9.8:1 ให้พละกำลังสูงสุด 143 แรงม้า (105 กิโลวัตต์) 5,000 รอบ/นาที และแรงบิด 250 นิวตันเมตร ที่ 2,400 รอบ/นาที เบนซินที่มีแรงบิดสูงที่สุด รองรับน้ำมันเชื้อเพลิงได้ระดับ E10
เกียร์อัตโนมัติแปรผันแบบต่อเนื่อง CVT พร้อมโหมด Shift Control + - 8 สปีด อัตราทดเกียร์ส่งกำลัง : 2.631-0.378 อัตราทดเฟืองท้าย : 5.511 อัตราทดเกียร์ถอยหลัง : 1.754 ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า
ระบบช่วงล่างด้านหน้ามาในรูปแบบแมคเฟอร์สันสตรัท ส่วนด้านหลังเป็นมัลติลิงค์ พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนระบบเบรกเป็นดิสก์ทั้ง 4 ล้อ
ระบบความปลอดภัยและระบบช่วยในการขับขี่นับว่าจัดมาให้แบบครบๆ
- โครงสร้างตัวถังนิรภัยและคานเหล็กนิรภัยกันแรงกระแทกจากด้านข้าง
- ถุงลมนิรภัย SRS สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า และถุงลมนิรภัยด้านข้างสำหรับผู้ขับขี่ และผู้โดยสารด้านหน้า ถึง 4 จุด (สำหรับรุ่น LT และ Premier)
- เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด สำหรับผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร
- ระบบแจ้งเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยฝั่งผู้ขับขี่ และผู้โดยสารด้านหน้า
- ตำแหน่งยึดเบาะนั่งสำหรับเด็กได้มาตรฐานสากล ISOFIX สำหรับผู้โดยสารตอนที่ 2
- กล้องมองภาพหลังพร้อมเส้นกะระยะช่วยเพิ่มความมั่นใจและความปลอดภัยในการขับขี่ในที่แคบ
- กล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 degree Camera 4 ตำแหน่งรอบคัน (เฉพาะ รุ่น Premier เท่านั้น)
- เซ็นเซอร์หน้า (เฉพาะ รุ่น Premier) และเซ็นเซอร์หลังช่วยในการนำรถเข้าจอด (Front & Rear Park Assist)
- ระบบตรวจวัดและแจ้งเตือนแรงดันลมยาง (TPMS)
- ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก (EBD)
- ระบบเสริมแรงเบรก (BA)
- ระบบป้องกันการลื่นไถลและล้อหมุนฟรี (TCS)
- ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ (ESC)
- ระบบช่วยการออกตัวขณะรถอยู่บนทางลาดชัน (HSA)
- ระบบไฟกระพริบฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกระทันหัน (ESS)
- ระบบเบรกมือไฟฟ้า (EPB)
- ระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ (Auto Vehicle Hold)
เข้าสู่ช่วงการทดสอบ โดยผู้ขับมีโอกาสได้ขับในรุ่น Premier ซึ่งเป็นรุ่นท็อปสุดของไลน์ ฟังก์ชั่นต่างๆ เรียกว่ามาเต็ม พร้อมเพื่อนสมาชิกจากสื่ออื่นอีก 2 ท่าน การเดินทางเริ่มจากใจกลางเมืองย่านพญาไท จากนั้นมุ่งหน้าฝ่าความแออัดไปขึ้นด่วนยมราชไปลงที่พระราม 2
แน่นอนว่าตลอดเส้นทางคับคั่งไปด้วยรถน้อยใหญ่มากมาย การเคลื่อนตัวก็ไปได้แบบเอื่อยๆ เรื่อยๆ ถามหาความคล่องตัวของรถ ทำได้ดีพอสมควร ทัศนะวิสัยในการมองทั้งกระจกหน้า กระจกข้างและมุมด้านท้าย ไม่เป็นปัญหาและมุมอับสายตาน้อย บวกกับพวงมาลัยที่เป็นแบบไฟฟ้า (EPS) ทำให้บังคับทิศทางหรือเปลี่ยนเลนไปช่องทางที่ลื่นไหลทำได้ค่อนข้างง่าย
ส่วนอุปกรณ์ความสะดวกสบายที่ติดตั้งอยู่ในรถ และตำแหน่งการจัดวางสวิตช์ต่างๆ ไม่เป็นปัญหาในการใช้งาน ส่วนจอกลางขนาด 10.4 นิ้ว ใช้งานได้ไวไม่ดีเลย์หรือสะดุด แต่ทว่าเมื่อลองเชื่อมต่อเข้ากับมือถือ โดยใช้แอปแผนที่ พบว่าการแสดงผลมันเล็กไปนิด เนื่องจากอิงขนาดจากจอของมือถือ จึงค่อนข้างดูยากไปสักนิด
เมื่อผ่านพ้นเขตรถติดๆ ย่านพระราม 2 การจราจรเริ่มลื่นไหล พอใช้ความเร็วได้บ้าง การไต่ระดับจาก 60-100 กม./ชม. ทำได้ดีพอประมาณแต่ก็ไม่ได้กระฉับเฉงเท่าไหร่นัก แม้จะมีเทอร์โบเข้ามาช่วย
อีกจุดหนึ่งที่ต้องบอกว่าทำให้รู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย คือ ช่วงความเร็วลอยตัว เมื่อผู้ขับยกคันเร่งและต้องจะเร่งต่อไป ปรากฏว่าจู่ๆ รี่ยวแรงก็วูบไปสัก 1-2 วินาที ลักษณะเหมือนอาการรอรอบ ก่อนที่จะกลับมาตอบสนองได้ใหม่ ซึ่งไม่แน่ใจว่าส่วนหนึ่งเป็นเรื่องการทำงานของเกียร์หรือไม่ ในขณะที่ความเร็วปลาย หากกดแช่ยาวๆ บนทางโล่ง แม้ขุมพลังจะอยู่ในพิกัด 1.5 ลิตร แต่ทว่ายังไหลต่อไปได้เรื่อยๆ จนความเร็วแตะถึง 180 กม./ชม. ทีเดียว
สำหรับระบบช่วงล่าง สัมผัสได้ชัดเมื่อขับมาถึงในช่วงเขตอำเภอแก่งกระจาน โดยเส้นทางมีทั้งโค้งซ้าย-ขวาตัดสลับไปมาอย่างต่อเนื่อง ประสิทธิภาพของระบบช่วงล่างที่ระดับความเร็ว 80-100 กม./ชม. ยังพอไว้ใจได้ ยังให้ความมั่นใจต่อผู้ขับ แต่เมื่อขยับเกินเมื่อไหร่ อาจรู้สึกว่าช่วงล่างนั้นลอยๆ โคลงเคลงไปสักนิด
จากผู้ขับย้ายตำแหน่งมาเป็นผู้โดยสาร แถวสองคงไม่ต้องพิสูจน์อะไรกันมาก รวมๆ อยู่ในระดับที่น่าพอใจ พื้นที่ส่วนเฮดรูมและเลครูมนับว่ากว้าง นั่งแล้วให้ความสบาย ที่สำคัญนั่งแล้วไม่รู้สึกว่าอึดอัดคับแคบเพราะมีพาโนรามิกซันรูฟที่กว้างถึง 0.82 ตร.ม.
ส่วนแถวสามการเข้า-ออก ยังคงต้องอาศัยการพับเบาะในแถวที่สองเสียก่อน จุดนี้หากรับได้ก็ไม่ใช่ปัญหา และหลังจากได้ลองนั่งดูประมาณ 20 กม. รู้สึกว่ามีอาการเวียนหัวอยู่บ้างจากอาการโคลงของระบบช่วงล่าง ส่วนความสบาย (ผู้นั่งคสูง 160 ซม.กว่าๆ) ปรากฎว่าเข่าชนกับด้านหลังของเบาะแถวสองพอดี แถมยังต้องนั่งอ้าขานิดๆ แนะนำว่าตำแหน่งนี้ควรเป็นที่สำหรับน้องๆ หนูๆ น่าจะเหมาะกว่า
ส่วนความเย็นสบายนับว่าจัดมาให้แบบทั่วถึง ไม่ต้องกังวลว่านั่งแล้วจะเหงื่อชุ่มตัว เพราะมีมีสวิตช์ช่องลมมาให้ด้วย ที่สำคัญก็ไม่ต้องกลัวแบตฯ สมาร์ทโฟนจะหมด เนื่องจากมีพอร์ตยูเอสบีติดตั้งมาในเบาะแถวสามถึง 4 จุด
ในส่วนของฟีเจอร์อีกจุดว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะการใช้งานในเมือง ที่ต้องเจอกับความแออัดคับแคบ นั่นคือ กล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 degree Camera 4 ตำแหน่งรอบคัน (เฉพาะ รุ่น Premier เท่านั้น) ซึ่งช่วยให้การถอยเข้า-ออก ถอยจอด-กลับรถ ทำได้อย่างสะดวกและปลอดภัยยิ่งกับคุณผู้หญิงแล้วน่าจะชอบ
ในด้านความอเนกประสงค์ เมื่อต้องเดินทางไกล หรือต้องการบรรทุกสัมภาระ แคปติวาใหม่ นับว่าค่อนข้างตอบโจทย์ทีเดียว ซึ่งเมื่อมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของเบาะ ก็จะมีพื้นที่ความจุถึง 587 ลิตร หรือเท่ากับกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ 5 ใบ
สรุป : ภาพรวมของ เชฟโรเลต แคปติวา ใหม่ เริ่มต้นกันที่ขุมพลังเรียกว่าเป็นเทรนด์แทบจะทั่วโลกกับเครื่องยนต์บล็อกเล็ก ซึ่งเรี่ยวแรงที่รีดมาได้ถึง 143 แรงม้า และแรงบิดระดับ 250 นิวตันเมตร นับว่าไม่ธรรมดา แต่ทว่าพอไม่ใช้งานจริงอาจจะรู้สึกหงุดหงิดกับการตอบสนองที่ไม่ทันใจเท่าที่ควรแถมออกอาการวืดรอบหายให้ได้สัมผัส อย่างไรก็ดีหากใช้งานทั่วไป ใช้ความเร็วไหลๆ เรื่อยๆ โดยไม่ขยี้แบบคันเร่งจมมิด ก็ใช้งานได้แบบสบายๆ ไม่มีปัญหา แต่พวกเท้าหนักไม่ขอแนะนำ
ส่วนในด้านความอเนกประสงค์ ตลอดจนพื้นที่ใช้สอยนับว่าตอบโจทย์ได้อย่างลงตัว รองรับกับคนยุคใหม่ซึ่งมีไลฟ์สไตล์หลากหลายได้แบบน่าประทับใจ ที่สำคัญฟีเจอร์ล้ำๆ และเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยก็นับว่าจัดมาให้แบบที่รถรุ่นใหม่ควรพึงมี ส่วนรูปร่างหน้าตารวมๆ ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร แถมดูมีสไตล์และทันสมัยไปกว่าที่เคยๆ มีมา เมื่อเทียบกับราคาล้านหนึ่งมีทอนในรุ่นท็อป ก็ถือว่าเป็นช้อยส์ที่ไม่ควรมองข้ามหรือตัดออกไป
แคปติวา ใหม่ เตรียมจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป ราคำจำหน่าย LS 999,000 บาท, LT 1,099,000 บาท และ Premier ราคา 1,199,000 บาท ที่สำคัญช่วงนี้มีแคมเปญและข้อเสนอพิเศษมากมาย ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โชว์รูมเชฟโรเลตทุกแห่ง
ที่มาข้อมูล : -